สถาปัตยกรรมเครือข่าย
นิยาม
เลเยอร์ (Layer) เพื่อลดปัญหาความยุ่งยาก และสับสนในการจัดการติดต่อสื่อสารข้อมูล โครง
สร้างของการสื่อสารข้อมูลภายในอุปกรร์คอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่จะถูกแบ่งออกเป็นชั้นๆ (level) เรียกว่า เลเยอร์ (Layer) ซึ่งแต่ละเลเยอร์จะมีขบวนการลำดับการทำงานของตนเอง และในแต่ละเลเยอร์จะมีหมายเลขลำดับ (N) ชื่อ รายละเอียด และหน้าที่การทำงานของตนแตกต่างกันออกไป
โปรโตคอล (Protocol) ในการเชื่อมต่ออุปกรณ์คอมพิวเตอร์เข้าเป็นเครือข่ายมีคำศัพท์ที่มี
ความหมายใกล้เคียงอยู่ 2 คำ คือ เอนทิตี้ (Entity) และระบบ (System) อธิบายอย่างง่าย ๆ เอนทิตี้นั้น ได้แก่ แอปพลิเคชั่นโปรแกรมระบบจัดการฐานข้อมูล ไฟล์ข้อมูล เป็นต้น ส่วนระบบก็ได้แก่ คอมพิวเตอร์ เทอร์มินัล หรือรีโมทเซนเซอร์ เป็นต้น ในการที่เอนทิตี้จาก 2 แหล่งจะสามารถส่อสารกันได้นั้น เอนทิตี้ทั้งสอง ต้อง "พูดจาภาษาเดียวกัน" ซึ่งหมายถึงจะต้องมีการกำหนดลักษณะการสื่อสาร รูปแบบและวิธีการสื่อสาร ดังนั้น คำ จำกัดความของโปรโตคอลก็คือ กลุ่มหรือเซ็ตของขั้นตอน รูปแบบ ลักษณะหรือวิธีการสื่อสารในการทำให้ ้เอนทิตี้สามารถสื่อสารกันได้
ในสถาปัตยกรรมเครือข่าย การสื่อสารกันระหว่างระบบหรือระหว่างคอมพิวเตอร์กับคอมพิวเตอร์
โปรโตคอลแบบหนึ่งจะใช้สำหรับการสื่อสารระหว่างเลเยอร์ชั้นที่ N ของเครื่องหนึ่งกับเลเยอร์ชั้นที่ N เดียวกัน ของเครื่องคอมพิวเตอร์ อีกเครืองหนึ่ง ซึ่งในระหว่างการสื่อสารข้อมูลกันจริง ๆ นั้น เลเยอร์ชั้น N ของอุปกรณ์ ทั้งสองจะทำการสื่อสารผ่านเลเยอร์ชั้นล่าง ซึ่งเป็นการสื่อสารแบบ "กายภาพ" ผ่านสื่อกลางในการสื่อสาร แต่ ด้วยแนวคิดแล้วจะเป็นสื่อสารกันโดยตรง ในแต่ละชั้น จะเรยกการวื่อสารแบบนี้ว่า "การสื่อสารแบบเสมือนจริง" (Virtual Communication)
อินเตอร์เฟซ (Interface) ในการอินเตอร์เฟซหรือการติดต่อสื่อสารระหว่างเลเยอร์ชั้น N และ
ชั้น N+1 หรือชั้นที่ N-1 โดยทั่วไปเลเยอร์ที่อยู่ชั้นล่างจะเป็นผู้ทำงานให้กับเลเยอร์ที่อยู่ชั้นบน ถ้าหากมีการ เปลี่ยนแปลงขึ้นในเลเยอร์ชั้นใด เลเยอร์ในชั้นอื่นๆ จะไม่มีผลกระทบกระเทือนเลยตราบใดที่อินเตอร์เฟซ ระหว่างเลเยอร์นั้นยังคงเหมือนเดิม
เซ็ต หรือกลุ่มของเลเยอร์ และโปรโตคอล และอินเตอร์เฟซรวมกันเรียกว่า
สถาปัตยกรรมเครือข่าย (Network Architecture)ซึ่งมีรูปแบบของสถาปัตยกรรมเป็นดังรูป
ในการสื่อสารข้อมูลระหว่าง Host A ไป Host B โดยผ่านระบบเครือข่าย ดูเสมือนว่า Host A
นั้นส่งข้อมูลไปยัง Host B แบบเลเยอร์ต่อเลเยอร์กันโดยตรง ซึ่งในความเป็นจริงแล้วขั้นตอนการส่งข้อมูลจาก Host A ไปยัง Host B จะทำเป็นลำดับดังรูปต่อไปนี้
M = Message ข่าวสารหรือข้อมูล H = Header ส่วนหัวของเฟรมข้อมูล T = Tailer ส่วนท้ายของเฟรมข้อมูล
รูป การส่งการรับข้อมูลผ่านชั้นเลเยอร์ของสถาปัตยกรรมเครือข่าย
จากภาพแสดงให้เห็นขั้นตอนการทำงานที่แท้จริงของการสื่อสารข้อมูลระหว่าง ผู้ส่ง (Host A)
และผู้รับ (Host B) จะเป็นลำดับขั้นตอนดังนี้
1. ข่าวสาร M ซึ่งอาจจะเป็นไฟล์ข้อมูล จะเริ่มต้นการสื่อสารจากเลเยอรืชั้นบนสุดคือเลเยอร์ 7 โดย
ข่าวสาร M จะถูกส่งจากเลเยอร์ 7 ให้กับเลเยอร์ 6 โดยผ่านทางอินเตอร์เฟซ 6/7
2. เมื่อเลเยอร์ 6 ได้รับข่าวสาร M มาแล้ว จะทำการเปลี่ยนแปลงรหัสของข่าวสาร แล้วส่งต่อไปยัง
เลเยอร์ 5 โดยผ่านอินเตอร์เฟซ 5/6
3. เลเยอร์ 5 จะไม่ทำการเปลี่ยนแปลงอะไรกับข่าวสาร M เพียงแต่จะช่วยควบคุมการสื่อสาร หรือ
การไหลของข้อมูล เช่น ถ้าเลเยอร์ 6ของเครื่องผู้รับยังไม่พร้อมที่จะรับข่าวสารจากผู้ส่งก็จะบกให้เลเยอร์ 5 ของเครื่องผู้ส่งให้หยุดรอ หรือ อาจจะให้ยกเลิกการส่งข่าวสารนั้น
4. เมื่อข่าวสารผ่านอินเตอร์เฟซ 4/5 จากเลเยอร์ 5 มายังเลเยอร์ 4 ก็จะแบ่งข่าวสาร M ออกเป็น
แพ็กเกจ M1 และ M2 เพื่อเตรียมส่งต่อให้กับเลเยอร์ 3 เพราะเลเยอร์ 3 ต้องการข้อมูลที่มีขนาดจำกัด นอก จากนั้นในเลเยอร 4 ยังมีการเพิ่มส่วนหัวของแพ็กเกจ(H) เพื่อกำหนดลำดับที่มาของแพ็กเกจเพื่ออำนวย ความสะดวกให้แก่ เลเยอร์ 4 ของเครื่องผู้รับในการจำแนกว่าแพ็กเกจใดมาก่อนมาหลัง เพื่อป้องกัน ความ ผิดพลาดในการรวมแพ็กเกจต่างๆ นั้นกลับมาเป็นข่าวสาร M ได้อย่างถูกต้อง
5. สำหรับเลเยอร์ 3 เมื่อรับแพ็กเกจข้อมูลมาจากเลเยอร์ 4 แล้วจะทำหน้าที่ตัดสินใจว่าแพ็กเกจ
ใดควรจะออกไปทางช่องทางสื่อสารไหน หรือเส้นทางใด และจะใส่บิตส่วนหัว H ของเลเยอร์ 3 เข้าไปกับ แพ็กเกจข้อมูลด้วย
6. เลเยอร์ 2 เมื่อรับแพ็กเกจข้อมูลจากเลเยอร์ 3 แล้วก็มีหน้าที่ในการควบคุมการส่งข้อมูลจาก
ต้นทางไปยังปลายทางให้ถูกต้องแน่นอน โดยเลเยอร์ 2 จะเพิ่มบิตส่วนหัว H และบิตปิดท้าย T ของตนเข้าไปกับ ข่าวสารเพื่อในการทำการตรวจสอบความผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นในระหว่างการส่งข้อมูล โดยเลเยอร์ 2 ของ เครื่องผู้รับจะเป็นผู้ตรวจสอบ
7. เลเยอร์ 1 คือ เลเยอร์ที่ผู้ส่งจะทำการส่งข้อมูลออกจากเครื่องส่งไปจริงๆ จากต้นทางไปยังอีก
ปลายทางโดยผ่านทางสื่อกลางสื่อสาร
8. เมื่อข้อมูลต่าง ๆ ได้ส่งไปเครื่องผู้รับแล้ว ขั้นตอนการทำงานในแต่ละเลเยอร์ของเครื่องผู้รับก็จะ
ทำงานย้อนกลับกันกับการทำงานในเลเยอร์ชั้นเดียวกันของเครื่องผู้ส่งจากชั้นล่างสุดขึ้นไปชั้นบนสุด
แม้ว่าโครงสร้างของเครือข่ายจะแบ่งออกเป็นหลายเลเยอร์ แต่ในแต่ละเลเยอร์ก็จะมีปัญหาเกิดขึ้น
ในลักษณะคล้ายคลึงกันคือ
- ปัญหาการเชื่อมโยงการสื่อสาร และการเชื่อมโยงเทอร์มินัล
- ปัญหาการส่ง - รับข้อมูลไม่ว่าจะเป้นในการเชื่อมโยงแบบ simplex, half-duplex,full-duplex
ซึ่งจะต้องกำหนดว่าจะใช้กี่ช่องทางการสื่อสารสำหรับ 1 เส้นทางการเชื่อมโยง
- ปัญหาการควบคุมการเกิดความผิดพลาด
- ปัญหาอัตราเร็วของการส่ง และรับข้อมูลไม่เท่ากัน
- ปัญหาการมัลติเพล็กซ์หลายช่องทางเข้าสู่ทางสื่อสารเดียว
ในการแบ่งโครงสร้างเครือข่ายออกเป็นเลเยอร์ และกำหนดหน้าที่การทำงานให้ ในแต่ละเลเยอร์
นั้นมีหลายองค์กรอิสระ และหลายบริษัทผู้ผลิตได้พยายามกำหนดรูปแบบมาตราฐานขึ้นใช้กัน และรูปแบบของ สถาปัตยกรรมเครือข่ายที่ถือว่าเป็นมาตราฐานสำหรับระบบเปิดมากที่สุดก็เห็นจะได้แก่ สถาปัตยกรรมเครือข่าย รูปแบบ OSI ซึ่งกำหนดขึ้นโดยองค์กร ISO
สรุป สถาปัตยกรมมมเครื่อข่าย อธิบายโดครงร่างแบบต่างๆว่ามีการจุดกาตเคื่อข่ายทางกายภาพและวิธีเชื่อมต่อเครื่อข่ายอย่างไร
อ้างอิงwww.kruchanpen.com/network/architecture.htm
วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
อุปกรณ์รับเข้า
อุปกรณ์รับเข้าในปัจจุบันมีหลายประเภท แต่ละประเภทมีวิธีการในการนำเข้าที่ต่างๆ กัน เราอาจแบ่ง
ประเภทของ อุปกรณ์รับเข้าได้ดังนี้
1. อุปกรณ์รับเข้าแบบกด
แผงแป้นอักขระ
2. อุปกรณ์รับเขัาแบบชี้ตำแหน่ง
เมาส์
อุปกรณ์ชี้ตำแหน่งสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ก
แผ่นรองสัมผัส (Trackpad) จะเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมที่วางอยู่หน้าแป้นพิมพ์ สามารถใช้นิ้ววาดเพื่อเลื่อนตำแหน่งของตัวชี้ตำแหน่งบนจอภาพ
เช่นเดียวกับเมาส์
ก้านควบคุม
จอยสติก (Joystick) จะเป็นก้านสำหรับโยกขึ้นลง/ซ้ายขวา เพื่อย้ายตำแหน่งของตัวชี้ตำแหน่งบนจอภาพ มีหลักการทำงาน
เช่นเดียวกับเมาส์ แต่จะมีแป้นกดเพิ่มเติมมาจำนวนหนึ่งสำหรับ
ส่งงานพิเศษ นิยมใช้กับการเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์หรือควบคุมหุ่นยนต์
ลูกกลมควบคุม
ลูกกลมควบคุม (Trackball) จะเป็นลูกบอลเล็ก ๆ ซึ่งอาจจะวางอยู่ หน้าจอภาพในเนื้อที่ของแป้นพิมพ์ หรือเป็นอุปกรณ์ต่างหาก เช่นเดียวกับเมาส์ เมื่อผู้ใช้หมุนลูกบอลก็จะเป็นการเลื่อนตำแหน่ง ของตัวชี้ตำแหน่งบนจอภาพ มีหลักการทำงานเช่นเดียวกับเมาส์
แท่งชี้ควบคุม
แท่งชี้ควบคุม (Trackpoint) จะเป็นพลาสติกเล็ก ๆ
อยู่ตรงกลางแป้นพิมพ์ บังคับโดยนิ้วหัวแม่มือเพื่อเลื่อน
ตำแหน่ง ของตัวชี้ตำแหน่งบนจอภาพเช่นเดียวกับเมาส์
3. อุปกรณ์รับเข้าแบบปากกา
ปากกาแสง
ปากกาแสง (Light pen) ใช้เซลล์แบบ photoelectric ซึ่งมีความไวต่อแสงเป็นตัวกำหนด ตำแห่นงบนจอภาพ รวมทั้งสามารถใช้วาดลักษณะหรือรูปแบบของข้อมูลให้ปรากฏบนจอภาพ การใช้งานทำได้โดยแตะปากกาแสงไปบนจอภาพตามตำแหน่งที่ต้องการ นิยมใช้กับงานคอมพิวเตอร์ ช่วยการออกแบบ (CAD หรือ Computer Aided Design) รวมทั้งนิยมใช้เป็นอุปกรณ์ป้อนข้อมูล โดยการเขียนด้วยมือในคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก เช่น PDA เป็นต้น
เครื่องอ่านพิกัด (digitizing tablet)
4. อุปกรณ์รับเข้าแบบจอสัมผัส
จอภาพสัมผัส (Touch screen Monitor) เป็นอุปกรณ์หรือฮาร์ดแวร์ที่ทำหน้าที่ป้อนข้อมูลเข้าสู่
คอมพิวเตอร์ และแสดงผลหรือเอาต์พุตออกสู่ผู้ใช้ในตัวเอง ผู้ใช้สามารถใช้นิ้วแตะบนหน้าจอตามภาพ หรือเมนูที่จัดเตรียมไว้ในการสั่งให้คอมพิวเตอร์ประมวลผลและนำเอาต์พุตออกมาให้
5. อุปกรณ์รับเข้าแบบกราดตรวจ
เครื่องอ่านรหัสแท่ง
เครื่องกราดตรวจ
กล้องถ่ายภาพดิจิทัล (digital camera)
6. อุปกรณ์รับเข้าแบบจำเสียง
อุปกรณ์วิเคราะห์เสียงพูด (Speech Recognition Devices) เป็นอุปกรณ์ที่พัฒนาโดย นักคอมพิวเตอร์และนักภาษาศาสตร์ เพื่อใช้รับสัญญาณเสียงที่มนุษย์พูด และแปลงเป็นสัญญาณ ดิจิตอลเก็บเป็นข้อมูลไว้ในคอมพิวเตอร์ ปัญหาที่สำคัญของอุปกรณ์ชนิดนี้คือ ผู้พูดแต่ละคน จะมีน้ำเสียงและสำเนียงเฉพาะของแต่ละบุคคล จึงได้มีการแก้ปัญหาโดยให้คอมพิวเตอร์ได้ เรียนรู้เสียงของผู้ที่ต้องการใช้งานในระยะเวลาหนึ่งก่อน เพื่อเก็บรูปแบบของน้ำเสียงและสำเนียงไว้ ซึ่งจะช่วยลดความผิดพลาดได้มาก
สรุป อุปกรณ์รับเข้าจะทำหน้าที่ในการแปลงคำรูปภาพและคำสั่งต่างๆให้อยู่ในแบบที่คอมพิวเตอร์ประมวลผลได้
อ้างอิงwww.chakkham.ac.th/technology/computer1/input.htm
อุปกรณ์รับเข้าในปัจจุบันมีหลายประเภท แต่ละประเภทมีวิธีการในการนำเข้าที่ต่างๆ กัน เราอาจแบ่ง
ประเภทของ อุปกรณ์รับเข้าได้ดังนี้
1. อุปกรณ์รับเข้าแบบกด
แผงแป้นอักขระ
2. อุปกรณ์รับเขัาแบบชี้ตำแหน่ง
เมาส์
อุปกรณ์ชี้ตำแหน่งสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ก
แผ่นรองสัมผัส (Trackpad) จะเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมที่วางอยู่หน้าแป้นพิมพ์ สามารถใช้นิ้ววาดเพื่อเลื่อนตำแหน่งของตัวชี้ตำแหน่งบนจอภาพ
เช่นเดียวกับเมาส์
ก้านควบคุม
จอยสติก (Joystick) จะเป็นก้านสำหรับโยกขึ้นลง/ซ้ายขวา เพื่อย้ายตำแหน่งของตัวชี้ตำแหน่งบนจอภาพ มีหลักการทำงาน
เช่นเดียวกับเมาส์ แต่จะมีแป้นกดเพิ่มเติมมาจำนวนหนึ่งสำหรับ
ส่งงานพิเศษ นิยมใช้กับการเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์หรือควบคุมหุ่นยนต์
ลูกกลมควบคุม
ลูกกลมควบคุม (Trackball) จะเป็นลูกบอลเล็ก ๆ ซึ่งอาจจะวางอยู่ หน้าจอภาพในเนื้อที่ของแป้นพิมพ์ หรือเป็นอุปกรณ์ต่างหาก เช่นเดียวกับเมาส์ เมื่อผู้ใช้หมุนลูกบอลก็จะเป็นการเลื่อนตำแหน่ง ของตัวชี้ตำแหน่งบนจอภาพ มีหลักการทำงานเช่นเดียวกับเมาส์
แท่งชี้ควบคุม
แท่งชี้ควบคุม (Trackpoint) จะเป็นพลาสติกเล็ก ๆ
อยู่ตรงกลางแป้นพิมพ์ บังคับโดยนิ้วหัวแม่มือเพื่อเลื่อน
ตำแหน่ง ของตัวชี้ตำแหน่งบนจอภาพเช่นเดียวกับเมาส์
3. อุปกรณ์รับเข้าแบบปากกา
ปากกาแสง
ปากกาแสง (Light pen) ใช้เซลล์แบบ photoelectric ซึ่งมีความไวต่อแสงเป็นตัวกำหนด ตำแห่นงบนจอภาพ รวมทั้งสามารถใช้วาดลักษณะหรือรูปแบบของข้อมูลให้ปรากฏบนจอภาพ การใช้งานทำได้โดยแตะปากกาแสงไปบนจอภาพตามตำแหน่งที่ต้องการ นิยมใช้กับงานคอมพิวเตอร์ ช่วยการออกแบบ (CAD หรือ Computer Aided Design) รวมทั้งนิยมใช้เป็นอุปกรณ์ป้อนข้อมูล โดยการเขียนด้วยมือในคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก เช่น PDA เป็นต้น
เครื่องอ่านพิกัด (digitizing tablet)
4. อุปกรณ์รับเข้าแบบจอสัมผัส
จอภาพสัมผัส (Touch screen Monitor) เป็นอุปกรณ์หรือฮาร์ดแวร์ที่ทำหน้าที่ป้อนข้อมูลเข้าสู่
คอมพิวเตอร์ และแสดงผลหรือเอาต์พุตออกสู่ผู้ใช้ในตัวเอง ผู้ใช้สามารถใช้นิ้วแตะบนหน้าจอตามภาพ หรือเมนูที่จัดเตรียมไว้ในการสั่งให้คอมพิวเตอร์ประมวลผลและนำเอาต์พุตออกมาให้
5. อุปกรณ์รับเข้าแบบกราดตรวจ
เครื่องอ่านรหัสแท่ง
เครื่องกราดตรวจ
กล้องถ่ายภาพดิจิทัล (digital camera)
6. อุปกรณ์รับเข้าแบบจำเสียง
อุปกรณ์วิเคราะห์เสียงพูด (Speech Recognition Devices) เป็นอุปกรณ์ที่พัฒนาโดย นักคอมพิวเตอร์และนักภาษาศาสตร์ เพื่อใช้รับสัญญาณเสียงที่มนุษย์พูด และแปลงเป็นสัญญาณ ดิจิตอลเก็บเป็นข้อมูลไว้ในคอมพิวเตอร์ ปัญหาที่สำคัญของอุปกรณ์ชนิดนี้คือ ผู้พูดแต่ละคน จะมีน้ำเสียงและสำเนียงเฉพาะของแต่ละบุคคล จึงได้มีการแก้ปัญหาโดยให้คอมพิวเตอร์ได้ เรียนรู้เสียงของผู้ที่ต้องการใช้งานในระยะเวลาหนึ่งก่อน เพื่อเก็บรูปแบบของน้ำเสียงและสำเนียงไว้ ซึ่งจะช่วยลดความผิดพลาดได้มาก
สรุป อุปกรณ์รับเข้าจะทำหน้าที่ในการแปลงคำรูปภาพและคำสั่งต่างๆให้อยู่ในแบบที่คอมพิวเตอร์ประมวลผลได้
อ้างอิงwww.chakkham.ac.th/technology/computer1/input.htm
ปากกาแสง (Light Pen)
เป็นอุปกรณ์รับข้อมูลอีกชนิดหนึ่งที่มีเซลล์แบบ photoelectric ซึ่งมึความไวต่อแสงทำงานคล้ายกับเมาส์ที่ใช้ในการติดต่อกับคอมพิวเตอร์มีรูปร่างเหมือนปากกาและมีแสงอยู่ตอนปลาย มีสายที่สามารถเชื่อมต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ได้โดยที่ปลายข้างหนึ่งของปากกาจะมีสายเชื่อมที่สามารถต่อเข้ากับคอมพิวเตอร์ การใช้งานทำได้โดยการแตะปากกาแสงไปบนจอภาพตามตำแหน่งที่ต้องการ นิยมใช้กับงานคอมพิวเตอร์ในการออกแบบ (Computer Aided Design หรือ CAD) การวาดภาพสำหรับงานกราฟิก รวมทั้งยังนิยมใช้เป็นอุปกรณ์ป้อนข้อมูลโดยการเขียนด้วยมือและจิ้มเลือกเมนูรายการที่ต้องการบนหน้าจอ เพื่อส่งผ่านข้อมูลการเลือกนั้นให้กับโปรแกรมที่อยู่ในหน่วยความจำ นอกจากนี้ยังมีการใช้ปากกาแสงกับเครื่องคอมพิวเตอร์ชนิดพกพาหรือปาล์มท็อปอย่างแพร่หลายด้วย เช่น PDA ข้อดีของปากกาแสง คือ สามารถจี้ไปบนจอภาพโดยตรงเพื่อบอกตำแหน่งที่ต้องการ
สรุป ปากกาแสงมีรูปร่างคลั้ยกับปากกาทั่วๆไปแต่จะมีความไวตอแสงใช้เขียนลงบนจอชนิดพิเศษ เช่นสำหรับแก้ไขภาพดิจิทัล
อ้างอิงขอขอบคุณข้อมูลจาก www.bcoms.net
เป็นอุปกรณ์รับข้อมูลอีกชนิดหนึ่งที่มีเซลล์แบบ photoelectric ซึ่งมึความไวต่อแสงทำงานคล้ายกับเมาส์ที่ใช้ในการติดต่อกับคอมพิวเตอร์มีรูปร่างเหมือนปากกาและมีแสงอยู่ตอนปลาย มีสายที่สามารถเชื่อมต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ได้โดยที่ปลายข้างหนึ่งของปากกาจะมีสายเชื่อมที่สามารถต่อเข้ากับคอมพิวเตอร์ การใช้งานทำได้โดยการแตะปากกาแสงไปบนจอภาพตามตำแหน่งที่ต้องการ นิยมใช้กับงานคอมพิวเตอร์ในการออกแบบ (Computer Aided Design หรือ CAD) การวาดภาพสำหรับงานกราฟิก รวมทั้งยังนิยมใช้เป็นอุปกรณ์ป้อนข้อมูลโดยการเขียนด้วยมือและจิ้มเลือกเมนูรายการที่ต้องการบนหน้าจอ เพื่อส่งผ่านข้อมูลการเลือกนั้นให้กับโปรแกรมที่อยู่ในหน่วยความจำ นอกจากนี้ยังมีการใช้ปากกาแสงกับเครื่องคอมพิวเตอร์ชนิดพกพาหรือปาล์มท็อปอย่างแพร่หลายด้วย เช่น PDA ข้อดีของปากกาแสง คือ สามารถจี้ไปบนจอภาพโดยตรงเพื่อบอกตำแหน่งที่ต้องการ
สรุป ปากกาแสงมีรูปร่างคลั้ยกับปากกาทั่วๆไปแต่จะมีความไวตอแสงใช้เขียนลงบนจอชนิดพิเศษ เช่นสำหรับแก้ไขภาพดิจิทัล
อ้างอิงขอขอบคุณข้อมูลจาก www.bcoms.net
แรม (RAM)
RAM ย่อมาจากคำว่า Random-Access Memory เป็นหน่วยความจำของระบบ มีหน้าที่รับข้อมูลเพื่อส่งไปให้ CPU ประมวลผลจะต้องมีไฟเข้า Module ของ RAM ตลอดเวลา ซึ่งจะเป็น chip ที่เป็น IC ตัวเล็กๆ ถูก pack อยู่บนแผงวงจร หรือ Circuit Board เป็น module
เทคโนโลยีของหน่วยความจำมีหลักการที่แตกแยกกันอย่างชัดเจน 2 เทคโนโลยี คือหน่วยความจำแบบ DDR หรือ Double Data Rate (DDR-SDRAM, DDR-SGRAM) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาต่อเนื่องมาจากเทคโนโลยีของหน่วยความจำแบบ SDRAM และ SGRAM และอีกหนึ่งคือหน่วยความจำแบบ Rambus ซึ่งเป็นหน่วยความจำที่มีแนวคิดบางส่วนต่างออกไปจากแบบอื่น
อนาคตของ RAM
บริษัทผู้ผลิตชิปเซตส่วนใหญ่เริ่มหันมาให้ความสนใจกับหน่วยความจำแบบ DDR กันมากขึ้น อย่างเช่น VIA ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตชิปเซตรายใหญ่ของโลกจากไต้หวัน ก็เริ่มผลิตชิปเซตอย่าง VIA Apollo KT266 และ VIA Apollo KT133a ซึ่งเป็นชิปเซตสำหรับซีพียูในตระกูลแอธลอน และดูรอน (Socket A) รวมถึงกำหนดให้ VIA Apolle Pro 266 ซึ่งเป็นชิปเซตสำหรับเซลเลอรอน และเพนเทียม (Slot1, Socket 370) หันมาสนับสนุนการทำงานร่วมกับหน่วยความจำแบบ DDR-SDRAM แทนที่จะเป็น RDRAM
แนวโน้มที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดของทั้ง DDR II กับ RDRAM เวอร์ชันต่อไป เทคโนโลยี quard pump คือการอัดรอบเพิ่มเข้าไปเป็น 4 เท่า เหมือนกับในกรณีของ AGP ซึ่งนั่นจะทำให้ DDR II และ RDRAM เวอร์ชันต่อไป มีแบนด์-วิดธ์ที่สูงขึ้นกว่างปัจจุบันอีก 2 เท่า ในส่วนของ RDRAM นั้น การเพิ่มจำนวนสล็อตในหนึ่ง channel ก็น่าจะเป็นหนทางการพัฒนาที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งนั่นก็จะเป็นการเพิ่มแบนด์วิดธ์ของหน่วยความจำขึ้นอีกเป็นเท่าตัวเช่นกัน และทั้งหมดที่ว่ามานั้น คงจะพอรับประกันได้ว่า การต่อสู้ระหว่าง DDR และ Rambus คงยังไม่จบลงง่าย ๆ และหน่วยความจำแบบ DDR ยังไม่ได้เป็นผู้ชนะอย่างเด็ดขาด
สรุป แรมเป็นหน่วยความจำระบบที่ทำหน้าที่รับข้อมูลเพืนำไปส่งให้cpuและจะติดตั้งอย่ในคอมพิวเตอร์
อ้างอิง
ข้อมูลจาก www.dcomputer.com
RAM ย่อมาจากคำว่า Random-Access Memory เป็นหน่วยความจำของระบบ มีหน้าที่รับข้อมูลเพื่อส่งไปให้ CPU ประมวลผลจะต้องมีไฟเข้า Module ของ RAM ตลอดเวลา ซึ่งจะเป็น chip ที่เป็น IC ตัวเล็กๆ ถูก pack อยู่บนแผงวงจร หรือ Circuit Board เป็น module
เทคโนโลยีของหน่วยความจำมีหลักการที่แตกแยกกันอย่างชัดเจน 2 เทคโนโลยี คือหน่วยความจำแบบ DDR หรือ Double Data Rate (DDR-SDRAM, DDR-SGRAM) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาต่อเนื่องมาจากเทคโนโลยีของหน่วยความจำแบบ SDRAM และ SGRAM และอีกหนึ่งคือหน่วยความจำแบบ Rambus ซึ่งเป็นหน่วยความจำที่มีแนวคิดบางส่วนต่างออกไปจากแบบอื่น
อนาคตของ RAM
บริษัทผู้ผลิตชิปเซตส่วนใหญ่เริ่มหันมาให้ความสนใจกับหน่วยความจำแบบ DDR กันมากขึ้น อย่างเช่น VIA ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตชิปเซตรายใหญ่ของโลกจากไต้หวัน ก็เริ่มผลิตชิปเซตอย่าง VIA Apollo KT266 และ VIA Apollo KT133a ซึ่งเป็นชิปเซตสำหรับซีพียูในตระกูลแอธลอน และดูรอน (Socket A) รวมถึงกำหนดให้ VIA Apolle Pro 266 ซึ่งเป็นชิปเซตสำหรับเซลเลอรอน และเพนเทียม (Slot1, Socket 370) หันมาสนับสนุนการทำงานร่วมกับหน่วยความจำแบบ DDR-SDRAM แทนที่จะเป็น RDRAM
แนวโน้มที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดของทั้ง DDR II กับ RDRAM เวอร์ชันต่อไป เทคโนโลยี quard pump คือการอัดรอบเพิ่มเข้าไปเป็น 4 เท่า เหมือนกับในกรณีของ AGP ซึ่งนั่นจะทำให้ DDR II และ RDRAM เวอร์ชันต่อไป มีแบนด์-วิดธ์ที่สูงขึ้นกว่างปัจจุบันอีก 2 เท่า ในส่วนของ RDRAM นั้น การเพิ่มจำนวนสล็อตในหนึ่ง channel ก็น่าจะเป็นหนทางการพัฒนาที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งนั่นก็จะเป็นการเพิ่มแบนด์วิดธ์ของหน่วยความจำขึ้นอีกเป็นเท่าตัวเช่นกัน และทั้งหมดที่ว่ามานั้น คงจะพอรับประกันได้ว่า การต่อสู้ระหว่าง DDR และ Rambus คงยังไม่จบลงง่าย ๆ และหน่วยความจำแบบ DDR ยังไม่ได้เป็นผู้ชนะอย่างเด็ดขาด
สรุป แรมเป็นหน่วยความจำระบบที่ทำหน้าที่รับข้อมูลเพืนำไปส่งให้cpuและจะติดตั้งอย่ในคอมพิวเตอร์
อ้างอิง
ข้อมูลจาก www.dcomputer.com
ภัยจากการแชท
ภัยจากการแชทChat คือการพุดคุยกันทางอินเตอร์เนต เราจะเห็นได้ว่าภัยจากอินเตอร์เนตที่เราพบง่ายที่สุด และบ่อยสุดเห็นในข่าวทีวีอยู่เรื่อยๆคือการแชทพูดคุยกันทางเนต ซึ่งอันตรายพอๆไปเดินเล่นสวนเลี้ยงผึ้งเลยก็ว่าได้ เพราะความปลอดภัยนั้นโอกาส50-50 ที่จะเจอคนโรคจิตหรือพวกคิดมิดีมิร้าย โดยเฉพาะผู้หญิง มีโอกาสโดนหลอกมากที่สุด ส่วนมากโปรแกรมแชทจะพัฒนาตัวเองขึ้นเรื่อยๆโดยผู้ผลิตหลายรายที่คิดค้นขึ้น จากพิมพ์ข้อความหากัน พัฒนาขึ้นมาโดยเห็นหน้ากัน พุดคุยกันผ่านไมค์ ตอนนี้หยุดแค่นี้ ในอนาคตคงเห็นหน้าชัดขึ้นความไวในการรับส่งเพิ่มขึ้นตามลำดับ ตามที่ผมได้ศึกษาและพอรู้วงในในเรื่องพวกนี้อีกทั้งได้สัมผัสโดยตรงก็รู้ว่า คนพวกนี้ที่เล่นแชท 1.ไม่ค่อยมีเพื่อน 2.มีปมด้อย 3.อยากหาแฟน 4.เพ้อฝันว่าอาจเจอเรื่องดีๆในเนต 5.โรคจิต 6.แสวงหาผลประโยชน์จากคนที่ไม่รู้ 7.หาความรุ้โดยไม่อยากเสียเงิน 8.เล่นๆไปงั้นแหละเพื่อนบอกให้ลอง
ที่กล่าวมานั้นเป็นการยกตัวอย่าง อันตรายของมันมีอยู่ว่า ถ้าให้ความสนิทสนมกับคนที่คุยด้วยโดยที่ไม่เคยเจอไม่เคยพบกันมาก่อน พุดง่ายๆคือไม่รู้ว่าเป็นใครมาก่อนนั้น ถ้าเค้าคิดไม่ดีกับเราก็เข้าทางเค้าทันที เค้าจะจูงเราไปไหนก็ได้ เพราะความเกรงใจเป็นหลัก ความเกรงใจในอินเตอร์เนตนั้นอันตรายมาก เพราะจะทำให้เราโน้มเอียงและหลงไหลได้ วิธีแก้ง่ายๆในการแชทคุยกันผ่านเนต ต้องตัดความเกรงใจออก ถ้าคุณตัดออกได้ก็จะไม่โดนหลอกง่ายๆ
สรุป ในปัจจุบันสาวๆหลายคนตกป็นเหยื่อของการแชทซึ่งก็เกิดจากการไม่ระวังตัวในการเล่นหรือเล่นแบบไร้ขอบเขตโดยไม่รับรู้ถึงภัยของมันที่จะเข้ามาคุกคามตัวเองโดยเฉพะคนที่เป็นวัยรุ่นสาวๆมักจะถูกหลอกได้ง่ายมาก
อ้างอิง mitsulancer3@hotmail.com
ภัยจากการแชทChat คือการพุดคุยกันทางอินเตอร์เนต เราจะเห็นได้ว่าภัยจากอินเตอร์เนตที่เราพบง่ายที่สุด และบ่อยสุดเห็นในข่าวทีวีอยู่เรื่อยๆคือการแชทพูดคุยกันทางเนต ซึ่งอันตรายพอๆไปเดินเล่นสวนเลี้ยงผึ้งเลยก็ว่าได้ เพราะความปลอดภัยนั้นโอกาส50-50 ที่จะเจอคนโรคจิตหรือพวกคิดมิดีมิร้าย โดยเฉพาะผู้หญิง มีโอกาสโดนหลอกมากที่สุด ส่วนมากโปรแกรมแชทจะพัฒนาตัวเองขึ้นเรื่อยๆโดยผู้ผลิตหลายรายที่คิดค้นขึ้น จากพิมพ์ข้อความหากัน พัฒนาขึ้นมาโดยเห็นหน้ากัน พุดคุยกันผ่านไมค์ ตอนนี้หยุดแค่นี้ ในอนาคตคงเห็นหน้าชัดขึ้นความไวในการรับส่งเพิ่มขึ้นตามลำดับ ตามที่ผมได้ศึกษาและพอรู้วงในในเรื่องพวกนี้อีกทั้งได้สัมผัสโดยตรงก็รู้ว่า คนพวกนี้ที่เล่นแชท 1.ไม่ค่อยมีเพื่อน 2.มีปมด้อย 3.อยากหาแฟน 4.เพ้อฝันว่าอาจเจอเรื่องดีๆในเนต 5.โรคจิต 6.แสวงหาผลประโยชน์จากคนที่ไม่รู้ 7.หาความรุ้โดยไม่อยากเสียเงิน 8.เล่นๆไปงั้นแหละเพื่อนบอกให้ลอง
ที่กล่าวมานั้นเป็นการยกตัวอย่าง อันตรายของมันมีอยู่ว่า ถ้าให้ความสนิทสนมกับคนที่คุยด้วยโดยที่ไม่เคยเจอไม่เคยพบกันมาก่อน พุดง่ายๆคือไม่รู้ว่าเป็นใครมาก่อนนั้น ถ้าเค้าคิดไม่ดีกับเราก็เข้าทางเค้าทันที เค้าจะจูงเราไปไหนก็ได้ เพราะความเกรงใจเป็นหลัก ความเกรงใจในอินเตอร์เนตนั้นอันตรายมาก เพราะจะทำให้เราโน้มเอียงและหลงไหลได้ วิธีแก้ง่ายๆในการแชทคุยกันผ่านเนต ต้องตัดความเกรงใจออก ถ้าคุณตัดออกได้ก็จะไม่โดนหลอกง่ายๆ
สรุป ในปัจจุบันสาวๆหลายคนตกป็นเหยื่อของการแชทซึ่งก็เกิดจากการไม่ระวังตัวในการเล่นหรือเล่นแบบไร้ขอบเขตโดยไม่รับรู้ถึงภัยของมันที่จะเข้ามาคุกคามตัวเองโดยเฉพะคนที่เป็นวัยรุ่นสาวๆมักจะถูกหลอกได้ง่ายมาก
อ้างอิง mitsulancer3@hotmail.com
ภัยจากเกมส์ออนไลน์ เกมส์ ในสมัยก่อนต่างจากในปัจจุบัน คือ มีความคิดสร้างสรรค์มากกว่าการเอาชนะ ทำแบบน่ารักๆ ลับสมองลองปัญญา เล่นได้ทุกเพศทุกวัย เช่น มาริโอ แพคแมน เกมส์แนวๆอวกาศ แข่งรถ และอื่นๆ ในช่วงยุคปี1980-1990นั้นเกมส์ต่างๆในเครื่อง คอนโซลออกมาแข่งกันทั้ง นินเทนโด้ เซก้า และอื่นๆ เนนเทนโด้นั้นผูกขาดตลาดเกมส์มาเป็นเวลานานเป็น10กว่าปี แต่มาโดนยุคปฎิวัติคือยุคดิจิตอลเข้าแทนที่โดยเครื่องเกมส์ของโซนี่ เพลย์สเตชั่น1 จากสีสันที่สวยงาม ภาพ3มิติ ทำให้นินเทนโด้แทบจะเอาตัวไม่รอด ส่วนเซก้านั้น เจ๊งไปตามระเบียบ โซนี่ได้ผลิตเกมส์มากมายอีกทั้งได้ค่ายเกมส์ดังๆจากญี่ปุ่นมากมายป้อนเกมส์ให้ทั้งแนวแอคชั่น แนวรถแข่ง แนวกีฬา วางแผน อื่นๆ ทำให้เกมส์คอลโซน หรือเกมส์ชนิดเครื่องเล่นที่เล่นกับบ้าน ฮิตมากเข้าไปอีก จนกระทั่งคอมพิวเตอร์เข้ามามีบทบาทในบ้านเรา อีกทั้งราคาคอมพิวเตอร์ถูกลงมาก เราจะสังเกตุได้ว่า เมื่อ10-20ปีที่แล้วเครื่องคอมพิวเตอร์ราคาสูงมากๆ มีแต่คนรวยๆเท่านั้นที่ซื้อได้ แต่ปัจจุบัน ใครก็ซื้อหาได้ เพราะเทคโนโลยีถูกลงมาก กระแสมาแรงของคอมพิวเตอร์มาแรง อีกทั้งเกมสืคอมพิวเตอร์ที่มีกราฟฟิกสวยกว่า ละเอียดกว่า แวกแนวกว่า มาแทนที่ โดยเฉพาะ เกมแนววางแผน เช่น คอมมาน ซิมซิตี้ ซิมชีวิต วอร์คราฟ สตาร์คราฟ อื่นๆ อันนี้ก็เป็นจุดเปลี่ยนอีกจุดหนึ่ง แต่ที่เป็นจุดเปลี่ยนที่ยิ่งใหญของวงการเกมส์คอมพิวเตอร์ทั่วโลกนั้นไม่ไช่เกมส์วางแผนการรบ หรือ เกมส์วางแผนอื่นๆ แต่กลับเป็นเกมส์ที่เน้นความรุนแรง ที่ไม่มีค่ายเกมส์ไหนๆทำมาก่อน ต้องยกให้ เกมส์ Half-Life ฮาฟไลฟ์ และเคาร์เตอร์สไตร์ ที่เป็นเกมส์แนว มุมมองบุคคลที่1 คือเห็นแต่มือกับปืน เหมือนกับเราถือปืนเอง ทำให้คนทั้งโลกต้องหันมาเล่นเกมส์นี้ เกมส์นี้เน้นความรุนแรง ความแม่นยำ ความเก่งกาจ ไหวหริบ การเอาตัวรอด การซุ่มโจมตี สารพัดวิธีที่จะใช้ ทำให้สาวกเกมส์เคาร์เตอร์มีอยู่ทั่วโลก เพราะเป็นเกมส์แนวใหมไม่มีใครเหมือน ทำให้เกมส์คอนโซนของโซนี่ต้องกระอักกระแสความมาแรงของคอมพิวเตอร์ ร้านอินเตอร์เนต ผุดขึ้นราวดอกเห็ด ร้านไหนไม่มีเคาร์เตอร์ คนไม่เข้า ทำให้กระแสของเกมส์คอมพิวเตอร์เข้ามามีบทบาทในวงการเกมส์มากยิ่งขึ้น ต่อมาเกมส์เคาร์เตอร์หรือเกมส์คอมอื่นๆ ชักจะเจื่อนๆ ไม่มีคนเล่นเกมส์สักเท่าไหร่ ผู้พัฒนาได้นำเกมส์แนวใหม่ที่เรียกว่าเกมส์ออนไลน์ จากประเทศเกาหลีมา ซึ่งเกาหลีใต้นั้นไม่มีในประวัติศาสตร์ของการทำเกมส์แนวนี้เลย เกมส์ออนไลน์ที่ว่าได้ถอดแบบมาจากเกมส์ญี่ปุ่นที่ชื่อ ไฟนอลแฟนตาซี ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของเกมส์ภาษา หรือ เกมส์ที่กึ่งๆวางแผนนั่นเอง เกาหลีได้นำเกมส์ออนไลน์มาตีตลาดในเมืองไทย ทำให้เด็กไทยบ้าหนักเข้าไปอีก เสียทั้งชั่วโมงเนต ยังเสียค่าเล่นเกมส์ออนไลน์อีก เลยเป็นยุคเข้าสู่เกมส์ออนไลน์ ถามว่าเกมส์ออนไลน์นั้นมีมานานรึยัง ตอบได้เลยว่า มีมานานแล้วแต่ไม่เป็นที่นิยม เพราะเป็นเกมส์ทางฝั่งอเมริกา ซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่ายแพงและยุ่งยาก คนไทยไม่นิยม
สรุป เกมในสมัยก่อนมีความแตกต่างกับปัจจุบันมากเพราะแต่ก่อน้นการสร้างสรรคื ลับสมอง เล่นได้ทุกคนแต่ว่าปัจจุบันที่มการผลิตเกม ออกมาแบบเวกแนวชวนอาชนะหรือชวนเลียนแบบในสิ่งที่ไม่ดีในทางที่ผิด และมีความรุนแรงมากขึ้นจึงเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมอย่างมากสำหรับเด็ก และถือว่าเป็นภัยอันตรายของเด็กด้วย
อ้างอิงข้อมูล
mitsulancer3@hotmail.com
สรุป เกมในสมัยก่อนมีความแตกต่างกับปัจจุบันมากเพราะแต่ก่อน้นการสร้างสรรคื ลับสมอง เล่นได้ทุกคนแต่ว่าปัจจุบันที่มการผลิตเกม ออกมาแบบเวกแนวชวนอาชนะหรือชวนเลียนแบบในสิ่งที่ไม่ดีในทางที่ผิด และมีความรุนแรงมากขึ้นจึงเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมอย่างมากสำหรับเด็ก และถือว่าเป็นภัยอันตรายของเด็กด้วย
อ้างอิงข้อมูล
mitsulancer3@hotmail.com
การปฏิบัติตนให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีสารสนเทศ
ปัจจุบันความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศได้มีบทบาทที่สำคัญต่อวิถีชีวิตและสังคมของมนุษย์ เทคโนโลยีสารสนเทศได้สร้างการเปลี่ยนแปลงและโอกาสให้แก่องค์การ เช่น เปลี่ยนโครงสร้างความสัมพันธ์และการแข่งขันในอุตสาหกรรม ปรับโครงสร้างการดำเนินงานขององค์การเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและบริการ เป็นต้น เนื่องจากเทคโนโลยีสารสนเทศก่อให้เกิดรูปแบบใหม่ในการติดต่อสื่อสารและมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ทำให้มีการพัฒนาและกระจายตัวของภูมิปัญญา ซึ่งต้องอาศัยบุคคลที่มีความรู้และความเข้าใจในการใช้งานเทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์ ปัจจุบันองค์การในประเทศไทยได้มีการตื่นตัวที่จะนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้งานมากขึ้น เพื่อที่จะทำให้เราติดตามความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากเทคโนโลยีได้ทัน และสามารถใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์ในการแข่งขัน อย่างไรก็ตาม การพัฒนาเทคโนโลยีขององค์การจะขึ้นอยู่กับผู้บริหารเป็นสำคัญ โดยที่ผู้บริหารจะต้องเตรียมความพร้อมสำหรับองค์การดังต่อไปนี้
1. ทำความเข้าใจต่อบทบาทของเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีต่อธุรกิจปัจจุบัน เพื่อให้สามารถนำความรู้ต่าง ๆ มาประยุกต์ใช้กับงานที่กำลังทำอยู่ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถและศักยภาพในการแข่งขันขององค์การ เช่น การนำเอาคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยในระบบคลังสินค้าของบริษัท การใช้ความก้าวหน้าด้านการสื่อสารมาช่วยในการเชื่อมโยงข้อมูลของแผนกต่าง ๆ หรือการใช้ระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ในการเปลี่ยนข้อมูลระหว่างผู้ขายวัตถุดิบ องค์การ และลูกค้า เป็นต้น
2. ระบบสารสนเทศเกี่ยวข้องกับการจัดการข้อมูลขององค์การ นักวิเคราะห์ระบบและผู้ใช้จะศึกษาหรือพิจารณาถึงข้อมูลและข่าวสารต่าง ๆ ที่องค์การต้องการและใช้ในการดำเนินงานอยู่เป็นประจำ เพื่อที่จะทำการรวบรวมและจัดระเบียบเก็บไว้ในระบบสารสนเทศ และเมื่อมีความต้องการข้อมูล ก็สามารถเรียกออกมาใช้ได้ทันที โดยการพัฒนาระบบต้องให้ความสำคัญกับภาพรวมและความสอดคล้องในการใช้งานสารสนเทศขององค์การเป็นสำคัญ
3. วางแผนที่จะสร้างและพัฒนาระบบ เพื่อให้การดำเนินการสร้างหรือพัฒนาระบบสารสนเทศเป็นไปตามวัตถุประสงค์ขององค์การภายใต้งบประมาณและระยะเวลาที่กำหนดไว้ การวางแผนถือเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะระบบสารสนเทศจะประกอบด้วยระบบย่อยอื่น ๆ อีกมาก ซึ่งจะต้องสัมพันธ์กันและใช้เวลาในการพัฒนาให้สมบูรณ์
โดยที่การเตรียมงานเพื่อให้การดำเนินการพัฒนาระบบสารสนเทศขององค์การประสบความสำเร็จ สมควรประกอบด้วยการเตรียมการในด้านต่อไปนี้
1. บุคลากร การเตรียมบุคลากรให้พร้อมเป็นสิ่งสำคัญในการที่จะสร้างและพัฒนา ตลอดจนการใช้งานระบบสารสนเทศเมื่อจัดสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว บุคลากรที่ต้องจัดเตรียมควรเป็นทั้งระดับผู้บริหาร นักเทคโนโลยีสารสนเทศ นักวิชาชีพเฉพาะ และพนักงานปฏิบัติการ เพื่อให้มีความรู้ ทักษะ และความเข้าใจในขีดความสามารถและศักยภาพของเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยการจัดฝึกอบรมหรือบรรยายพิเศษ รวมทั้งการสรรหาบุคลากรทางสารสนเทศให้สอดคล้องกับความต้องการทั้งในปัจจุบันและอนาคตของหน่วยงาน
2. งบประมาณ เตรียมกำหนดจำนวนเงินและวางแนวทางในการจัดหาเงินที่จะมาพัฒนาระบบสารสนเทศให้เพียงพอกับแผนที่วางไว้ ตลอดจนจัดทำงบประมาณสำหรับการพัฒนาระบบในอนาคต เนื่องจากเทคโนโลยีขององค์การอาจจะล้าสมัยและสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในระยะเวลาสั้น
3. การวางแผน ผู้บริหารต้องจัดทำแผนการจัดสร้างหรือพัฒนาระบบทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งอาจจะต้องมีการจัดตั้งคณะทำงาน ซึ่งอาจจะประกอบด้วยผู้บริหาร ผู้ใช้ นักออกแบบระบบและผู้เชี่ยวชาญจากภายนอกมาปฏิบัติงานร่วมกัน
สรุป องค์การที่เจริญเติบโตในอนาคตต้องสามารถประยุกต์เทคโนโลยีเข้าไปในโครงสร้างการบริหารงานและการติดต่อสื่อสาร โดยเทคโนโลยีสารสนเทศเปรียบเสมือนเส้นประสาทของธุรกิจ แต่การประยุกต์เทคโนโลยีสารสนเทศในองค์การจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานและบุคลากร มากกว่าการเพิ่มประสิทธิภาพหรือการลดขั้นตอนในการทำงาน การจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศจะเกี่ยวข้องกับจริยธรรมและความรับผิดชอบต่อส่วนรวม เช่น การไหลเวียนของข้อมูลผ่านขอบเขตขององค์การและเขตแดนของประเทศ การติดตามผลและตรวจสอบการทำงานกับความเป็นส่วนตัวของพนักงาน การทุจริตหรือฉ้อโกงในระบบเครือข่าย การก่อการร้ายหรือการโจรกรรม ซึ่งผู้บริหารจะต้องติดตามทำความเข้าใจในศักยภาพและผลกระทบของเทคโนโลยีที่มีต่อองค์การและสังคม เพื่อให้เลือกใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์สูงสุดและก่อให้เกิดผลกระทบในด้านลบน้อยที่สุดต่อองค์การและสังคมแวดล้อม
อ้างอิงwww.sirikitdam.egat.com/WEB_MIS/102/noname7.htm
ปัจจุบันความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศได้มีบทบาทที่สำคัญต่อวิถีชีวิตและสังคมของมนุษย์ เทคโนโลยีสารสนเทศได้สร้างการเปลี่ยนแปลงและโอกาสให้แก่องค์การ เช่น เปลี่ยนโครงสร้างความสัมพันธ์และการแข่งขันในอุตสาหกรรม ปรับโครงสร้างการดำเนินงานขององค์การเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและบริการ เป็นต้น เนื่องจากเทคโนโลยีสารสนเทศก่อให้เกิดรูปแบบใหม่ในการติดต่อสื่อสารและมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ทำให้มีการพัฒนาและกระจายตัวของภูมิปัญญา ซึ่งต้องอาศัยบุคคลที่มีความรู้และความเข้าใจในการใช้งานเทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์ ปัจจุบันองค์การในประเทศไทยได้มีการตื่นตัวที่จะนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้งานมากขึ้น เพื่อที่จะทำให้เราติดตามความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากเทคโนโลยีได้ทัน และสามารถใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์ในการแข่งขัน อย่างไรก็ตาม การพัฒนาเทคโนโลยีขององค์การจะขึ้นอยู่กับผู้บริหารเป็นสำคัญ โดยที่ผู้บริหารจะต้องเตรียมความพร้อมสำหรับองค์การดังต่อไปนี้
1. ทำความเข้าใจต่อบทบาทของเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีต่อธุรกิจปัจจุบัน เพื่อให้สามารถนำความรู้ต่าง ๆ มาประยุกต์ใช้กับงานที่กำลังทำอยู่ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถและศักยภาพในการแข่งขันขององค์การ เช่น การนำเอาคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยในระบบคลังสินค้าของบริษัท การใช้ความก้าวหน้าด้านการสื่อสารมาช่วยในการเชื่อมโยงข้อมูลของแผนกต่าง ๆ หรือการใช้ระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ในการเปลี่ยนข้อมูลระหว่างผู้ขายวัตถุดิบ องค์การ และลูกค้า เป็นต้น
2. ระบบสารสนเทศเกี่ยวข้องกับการจัดการข้อมูลขององค์การ นักวิเคราะห์ระบบและผู้ใช้จะศึกษาหรือพิจารณาถึงข้อมูลและข่าวสารต่าง ๆ ที่องค์การต้องการและใช้ในการดำเนินงานอยู่เป็นประจำ เพื่อที่จะทำการรวบรวมและจัดระเบียบเก็บไว้ในระบบสารสนเทศ และเมื่อมีความต้องการข้อมูล ก็สามารถเรียกออกมาใช้ได้ทันที โดยการพัฒนาระบบต้องให้ความสำคัญกับภาพรวมและความสอดคล้องในการใช้งานสารสนเทศขององค์การเป็นสำคัญ
3. วางแผนที่จะสร้างและพัฒนาระบบ เพื่อให้การดำเนินการสร้างหรือพัฒนาระบบสารสนเทศเป็นไปตามวัตถุประสงค์ขององค์การภายใต้งบประมาณและระยะเวลาที่กำหนดไว้ การวางแผนถือเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะระบบสารสนเทศจะประกอบด้วยระบบย่อยอื่น ๆ อีกมาก ซึ่งจะต้องสัมพันธ์กันและใช้เวลาในการพัฒนาให้สมบูรณ์
โดยที่การเตรียมงานเพื่อให้การดำเนินการพัฒนาระบบสารสนเทศขององค์การประสบความสำเร็จ สมควรประกอบด้วยการเตรียมการในด้านต่อไปนี้
1. บุคลากร การเตรียมบุคลากรให้พร้อมเป็นสิ่งสำคัญในการที่จะสร้างและพัฒนา ตลอดจนการใช้งานระบบสารสนเทศเมื่อจัดสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว บุคลากรที่ต้องจัดเตรียมควรเป็นทั้งระดับผู้บริหาร นักเทคโนโลยีสารสนเทศ นักวิชาชีพเฉพาะ และพนักงานปฏิบัติการ เพื่อให้มีความรู้ ทักษะ และความเข้าใจในขีดความสามารถและศักยภาพของเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยการจัดฝึกอบรมหรือบรรยายพิเศษ รวมทั้งการสรรหาบุคลากรทางสารสนเทศให้สอดคล้องกับความต้องการทั้งในปัจจุบันและอนาคตของหน่วยงาน
2. งบประมาณ เตรียมกำหนดจำนวนเงินและวางแนวทางในการจัดหาเงินที่จะมาพัฒนาระบบสารสนเทศให้เพียงพอกับแผนที่วางไว้ ตลอดจนจัดทำงบประมาณสำหรับการพัฒนาระบบในอนาคต เนื่องจากเทคโนโลยีขององค์การอาจจะล้าสมัยและสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในระยะเวลาสั้น
3. การวางแผน ผู้บริหารต้องจัดทำแผนการจัดสร้างหรือพัฒนาระบบทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งอาจจะต้องมีการจัดตั้งคณะทำงาน ซึ่งอาจจะประกอบด้วยผู้บริหาร ผู้ใช้ นักออกแบบระบบและผู้เชี่ยวชาญจากภายนอกมาปฏิบัติงานร่วมกัน
สรุป องค์การที่เจริญเติบโตในอนาคตต้องสามารถประยุกต์เทคโนโลยีเข้าไปในโครงสร้างการบริหารงานและการติดต่อสื่อสาร โดยเทคโนโลยีสารสนเทศเปรียบเสมือนเส้นประสาทของธุรกิจ แต่การประยุกต์เทคโนโลยีสารสนเทศในองค์การจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานและบุคลากร มากกว่าการเพิ่มประสิทธิภาพหรือการลดขั้นตอนในการทำงาน การจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศจะเกี่ยวข้องกับจริยธรรมและความรับผิดชอบต่อส่วนรวม เช่น การไหลเวียนของข้อมูลผ่านขอบเขตขององค์การและเขตแดนของประเทศ การติดตามผลและตรวจสอบการทำงานกับความเป็นส่วนตัวของพนักงาน การทุจริตหรือฉ้อโกงในระบบเครือข่าย การก่อการร้ายหรือการโจรกรรม ซึ่งผู้บริหารจะต้องติดตามทำความเข้าใจในศักยภาพและผลกระทบของเทคโนโลยีที่มีต่อองค์การและสังคม เพื่อให้เลือกใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์สูงสุดและก่อให้เกิดผลกระทบในด้านลบน้อยที่สุดต่อองค์การและสังคมแวดล้อม
อ้างอิงwww.sirikitdam.egat.com/WEB_MIS/102/noname7.htm
e-commerceคืออะไร ปัจจุบัน : E-Commerce เป็นเรื่องที่ถูกหยิบยกขึ้นมาคุยกันมาก เพราะเป็นช่องทางที่ลงทุนต่ำ แต่ผมตอบแทนสูง ในทางทฤษฎี แต่ในทางปฏิบัติอาจไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป โดยอาศัยสื่อที่เรียกว่า Internet เป็นช่องทางในการค้าขาย
การจด domain : ต้องพิจารณา เพราะมีทั้งฟรี และไม่ฟรี ซึ่งเดิม networksolutions.com รับผิดชอบการจด domain ทั้งหมด ต่อมา icann.com ผลักดันให้เปิดเสรี คือกระสายสิทธิ์ในการรับจด domain จึงทำให้ siamdomain.com และ domainatcost.com รับจด domain ราคาเพียง 600 บาทต่อปี และเว็บของ domainatcost.com ยังมีบทความดี ๆ เกี่ยวกับการจด dotcom ไว้มาก
ฝากเว็บไว้กับ host ไหนดี : ถ้าเป็นเว็บด้าน E-Commerce ซึ่งให้บริการครบวงจรก็มีหลายที่เช่น ecombot.com และ siam-e-commerce.com เป็นต้น ซึ่งถือว่าเป็นมืออาชีพชั้นเซียน เรื่องให้บริการเปิดร้านทาง internet
ประชาสัมพันธ์ : อาจารย์ถนอมพึ่งได้รับ เอกสารจาก thailifestyle.com ซึ่งมี internet จาก ksc 10 ชั่วโมง บัตรสมาชิกอย่างดี และบัตรส่วนลดอีกหลาย 10 บัตร เพราะท่านเพียงแต่เข้าไปสมัครเป็นสมาชิกเท่านั้น ก็ได้สิ่งเหล่านี้ส่งมาถึงที่บ้าน นอกจากนี้ อาจารย์บุรินทร์ไปเดินที่ ซีคอน เห็นบูธของ nationejobs.com มาประชาสัมพันธ์ เว็บที่ห้างสรรพสินค้า โดยมีรางวัลที่จะจับฉลากในหมู่สมาชิกเป็น รถเก๋งคันละ 800,000 บาททีเดียว นี่คือตัวอย่างการลงทุน ของเว็บ ecommerce ในรูปแบบต่าง ๆ แต่ถ้าถามว่าจุดคืนทุนอยู่ที่ไหน ผมเองก็ยังนึกไม่ค่อยออกเหมือนกันครับ แต่ทาง webmaster ของแต่ละเว็บ คงต้องวางแผนไว้แล้ว .. อย่างรัดกุม
ลงทุน : ถ้าบอกว่าฟรีหมดก็เป็นไปได้ แต่ถ้าท่านจะทำธุรกิจบน internet แต่ไม่ยอมเสียเงิน เหมือนจังเสือมือเปล่า ท่านอาจจะไม่ได้ผลดังคาดก็ได้ เพราะมีปัจจัยมากมายที่จะกำหนดความสำเร็จให้กับธุรกิจ E-Commerce ของท่าน แต่ถ้าท่านลงทุนบ้าง ตั้งแต่หลัก 1,000 ไปถึง หลัก 1,000,000 สิ่งที่ท่านได้รับอาจเกินที่จะคาดหมายก็ได้ การลงทุนสิ่งที่ต้องพิจารณาประกอบด้วย
(ถ้าคิดจะจับเสือมือเปล่า สิ่งที่ท่านอาจต้องเสียคือเวลา .. โปรดระวัง)
เวลา
ค่าจด Domain
ค่าเช่า Host
ค่าจ้างนักพัฒนาเว็บ
ค่าจ้างพนักงานบัญชี เพราะท่านต้องเสียภาษี เพื่อความถูกต้อง
ค่าจ้างพนักงานส่งสินค้า หรือดูแล stock
ค่าเช่าพื้นที่ทำการ ให้พนักงานนั่ง
ค่าขนส่งสินค้า
ต้นทุนสินค้า
จิปาถะ เช่น จดทะเบียนเป็นบริษัท, จัดทำใบเสร็จ เป็นต้น
สรุป e-commecrเป็นช่องทางการค้าที่ใช้ต้นทุนตำแต่ผลตอบกลับมาสูงมากและอาศัยสื่ออิ นเตอร์เน้ตเป็นช่องทางค้าขาย ที่มีทั้งฟรีและไม่ฟรี
อ้างอิง www.thaiall.com/article/worldit01.
การจด domain : ต้องพิจารณา เพราะมีทั้งฟรี และไม่ฟรี ซึ่งเดิม networksolutions.com รับผิดชอบการจด domain ทั้งหมด ต่อมา icann.com ผลักดันให้เปิดเสรี คือกระสายสิทธิ์ในการรับจด domain จึงทำให้ siamdomain.com และ domainatcost.com รับจด domain ราคาเพียง 600 บาทต่อปี และเว็บของ domainatcost.com ยังมีบทความดี ๆ เกี่ยวกับการจด dotcom ไว้มาก
ฝากเว็บไว้กับ host ไหนดี : ถ้าเป็นเว็บด้าน E-Commerce ซึ่งให้บริการครบวงจรก็มีหลายที่เช่น ecombot.com และ siam-e-commerce.com เป็นต้น ซึ่งถือว่าเป็นมืออาชีพชั้นเซียน เรื่องให้บริการเปิดร้านทาง internet
ประชาสัมพันธ์ : อาจารย์ถนอมพึ่งได้รับ เอกสารจาก thailifestyle.com ซึ่งมี internet จาก ksc 10 ชั่วโมง บัตรสมาชิกอย่างดี และบัตรส่วนลดอีกหลาย 10 บัตร เพราะท่านเพียงแต่เข้าไปสมัครเป็นสมาชิกเท่านั้น ก็ได้สิ่งเหล่านี้ส่งมาถึงที่บ้าน นอกจากนี้ อาจารย์บุรินทร์ไปเดินที่ ซีคอน เห็นบูธของ nationejobs.com มาประชาสัมพันธ์ เว็บที่ห้างสรรพสินค้า โดยมีรางวัลที่จะจับฉลากในหมู่สมาชิกเป็น รถเก๋งคันละ 800,000 บาททีเดียว นี่คือตัวอย่างการลงทุน ของเว็บ ecommerce ในรูปแบบต่าง ๆ แต่ถ้าถามว่าจุดคืนทุนอยู่ที่ไหน ผมเองก็ยังนึกไม่ค่อยออกเหมือนกันครับ แต่ทาง webmaster ของแต่ละเว็บ คงต้องวางแผนไว้แล้ว .. อย่างรัดกุม
ลงทุน : ถ้าบอกว่าฟรีหมดก็เป็นไปได้ แต่ถ้าท่านจะทำธุรกิจบน internet แต่ไม่ยอมเสียเงิน เหมือนจังเสือมือเปล่า ท่านอาจจะไม่ได้ผลดังคาดก็ได้ เพราะมีปัจจัยมากมายที่จะกำหนดความสำเร็จให้กับธุรกิจ E-Commerce ของท่าน แต่ถ้าท่านลงทุนบ้าง ตั้งแต่หลัก 1,000 ไปถึง หลัก 1,000,000 สิ่งที่ท่านได้รับอาจเกินที่จะคาดหมายก็ได้ การลงทุนสิ่งที่ต้องพิจารณาประกอบด้วย
(ถ้าคิดจะจับเสือมือเปล่า สิ่งที่ท่านอาจต้องเสียคือเวลา .. โปรดระวัง)
เวลา
ค่าจด Domain
ค่าเช่า Host
ค่าจ้างนักพัฒนาเว็บ
ค่าจ้างพนักงานบัญชี เพราะท่านต้องเสียภาษี เพื่อความถูกต้อง
ค่าจ้างพนักงานส่งสินค้า หรือดูแล stock
ค่าเช่าพื้นที่ทำการ ให้พนักงานนั่ง
ค่าขนส่งสินค้า
ต้นทุนสินค้า
จิปาถะ เช่น จดทะเบียนเป็นบริษัท, จัดทำใบเสร็จ เป็นต้น
สรุป e-commecrเป็นช่องทางการค้าที่ใช้ต้นทุนตำแต่ผลตอบกลับมาสูงมากและอาศัยสื่ออิ นเตอร์เน้ตเป็นช่องทางค้าขาย ที่มีทั้งฟรีและไม่ฟรี
อ้างอิง www.thaiall.com/article/worldit01.
เตือนภัยไวรัส
มาอีกแล้วกับหนอนอินเทอร์เน็ตที่ถูกพัฒนาต่อจาก W32/Klez.e@MM ในชื่อ W32/Klez.g@MM ซึ่งยังคงอาศัยช่องโหว่เดิมคือการที่ IE เรียกใช้งานไฟล์ซึ่งแนบมากับอีเมล์ ที่มีรูปแบบของหัวข้อ และเนื้อหาของอีเมล์ที่ไม่แน่นอน โดยอาจจะมีหัวข้อของอีเมล์ เช่น sos!, japanese girl VS playboy, look my beautiful girl friend, eager to see you, spice girls' vocal concert หรือ japanese lass' sexy pictures เป็นต้น
โดยหากอีเมล์ที่มีหนอนร้ายนี้ถูกเปิดขึ้น หนอนร้ายตัวนี้ก็จะเรียกใช้ช่องโหว่ที่กล่าวถึง (หรือถ้าเครื่องของคุณไม่ได้ติดตั้ง patch ไว้ เพียงแค่ preview อีเมล์ หนอนร้ายก็ทำงานได้) หนอนร้ายจะทำสำเนาตัวมันเองโดยมีชื่อ WINKxxx.EXT (xxx คือตัวอักษรที่สุ่มมา) ไว้ในโฟลเดอร์ WINDOWS\SYSTEM และไฟล์นี้ถูกตั้งให้เริ่มทำงานทุกครั้งที่เปิดเครื่อง ตัวหนอนจะส่งเมล์ที่สุ่มข้อมูลของหัวข้อ เนื้อหา และ ไฟล์ที่แทรกไปยังรายชื่อที่อยู่ของอีเมล์ในเครื่องทั้งหมด นอกจากนี้ ตัวหนอนยังสามารถกระจายผ่านระบบเครือข่ายที่มีการแชร์ทรัพยากรในระบบเครือข่ายที่ใช้สิทธิของการอ่านและเขียน
สรุป ในโลกการสื่ อสารไร้สายปัจจุบันมีการพัฒนาที่หลากหลายขึ้นดังน้นตัวนำภัยอันตรายก็จึงมีมาเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย อย่างเช่นพวกไวรัส หรือว่าหนอนอินเตอร์เน็ต
อ้างอิง www.myparty.yahoo.com
มาอีกแล้วกับหนอนอินเทอร์เน็ตที่ถูกพัฒนาต่อจาก W32/Klez.e@MM ในชื่อ W32/Klez.g@MM ซึ่งยังคงอาศัยช่องโหว่เดิมคือการที่ IE เรียกใช้งานไฟล์ซึ่งแนบมากับอีเมล์ ที่มีรูปแบบของหัวข้อ และเนื้อหาของอีเมล์ที่ไม่แน่นอน โดยอาจจะมีหัวข้อของอีเมล์ เช่น sos!, japanese girl VS playboy, look my beautiful girl friend, eager to see you, spice girls' vocal concert หรือ japanese lass' sexy pictures เป็นต้น
โดยหากอีเมล์ที่มีหนอนร้ายนี้ถูกเปิดขึ้น หนอนร้ายตัวนี้ก็จะเรียกใช้ช่องโหว่ที่กล่าวถึง (หรือถ้าเครื่องของคุณไม่ได้ติดตั้ง patch ไว้ เพียงแค่ preview อีเมล์ หนอนร้ายก็ทำงานได้) หนอนร้ายจะทำสำเนาตัวมันเองโดยมีชื่อ WINKxxx.EXT (xxx คือตัวอักษรที่สุ่มมา) ไว้ในโฟลเดอร์ WINDOWS\SYSTEM และไฟล์นี้ถูกตั้งให้เริ่มทำงานทุกครั้งที่เปิดเครื่อง ตัวหนอนจะส่งเมล์ที่สุ่มข้อมูลของหัวข้อ เนื้อหา และ ไฟล์ที่แทรกไปยังรายชื่อที่อยู่ของอีเมล์ในเครื่องทั้งหมด นอกจากนี้ ตัวหนอนยังสามารถกระจายผ่านระบบเครือข่ายที่มีการแชร์ทรัพยากรในระบบเครือข่ายที่ใช้สิทธิของการอ่านและเขียน
สรุป ในโลกการสื่ อสารไร้สายปัจจุบันมีการพัฒนาที่หลากหลายขึ้นดังน้นตัวนำภัยอันตรายก็จึงมีมาเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย อย่างเช่นพวกไวรัส หรือว่าหนอนอินเตอร์เน็ต
อ้างอิง www.myparty.yahoo.com
บุคลากรคอมพิวเตอร์
บุคลากรคอมพิวเตอร์ หมายถึง บุคคลที่ทำงานเกี่ยวข้อง
กับระบบงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ทุก ๆ ด้าน
- นักวิเคราะห์ระบบงาน
ทำการศึกษาระบบงานเดิม ออกแบบระบบงานใหม่
- โปรแกรมเมอร์
นำระบบงานใหม่ที่นักวิเคราะห์ระบบออกแบบไว้มาสร้าง
เป็นโปรแกรม
- วิศวกรระบบ
ทำหน้าที่ออกแบบ สร้าง ซ่อมบำรุง และดูแลรักษาฮาร์ดแวร์
คอมพิวเตอร์ให้สามารถทำงานได้ตามต้องการ
- พนักงานปฏิบัติการ
ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ หรือภารกิจประจำ
วัน ที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์
สรุป เนื่องจากงานต่างๆทุกงานที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์จะต้องกระทำโดยบุคลากรหรือผู้ใช้ ทั้งสิ้นดังนั้นบุคลากรจึงเป็นองค์ประกอบสำคัญที่สุดของระบบสารสนเทศ
อ้างอิงhttp://phueng.site90.com
บุคลากรคอมพิวเตอร์ หมายถึง บุคคลที่ทำงานเกี่ยวข้อง
กับระบบงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ทุก ๆ ด้าน
- นักวิเคราะห์ระบบงาน
ทำการศึกษาระบบงานเดิม ออกแบบระบบงานใหม่
- โปรแกรมเมอร์
นำระบบงานใหม่ที่นักวิเคราะห์ระบบออกแบบไว้มาสร้าง
เป็นโปรแกรม
- วิศวกรระบบ
ทำหน้าที่ออกแบบ สร้าง ซ่อมบำรุง และดูแลรักษาฮาร์ดแวร์
คอมพิวเตอร์ให้สามารถทำงานได้ตามต้องการ
- พนักงานปฏิบัติการ
ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ หรือภารกิจประจำ
วัน ที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์
สรุป เนื่องจากงานต่างๆทุกงานที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์จะต้องกระทำโดยบุคลากรหรือผู้ใช้ ทั้งสิ้นดังนั้นบุคลากรจึงเป็นองค์ประกอบสำคัญที่สุดของระบบสารสนเทศ
อ้างอิงhttp://phueng.site90.com
snifferคือ
sniffer คืออุปกรณ์ที่ต่อเข้ากับเครือข่ายคอมพิวเตอร์และคอยดักฟังข้อมูลในเครือข่ายและโปรแกรม “sniffer” เป็นโปรแกรม ที่จะคอยดักฟังการสนทนากันของเครือข่าย แต่จะเห็นการสนทนากันนั้นจะเป็นข้อมูลไบนารี ดังนั้นโปรแกรมดังกล่าวต้องทำ การถอดรหัสของข้อมูลของคอมพิวเตอร์ เพื่อจะให้รู้ถึงการสนทนานั้นได้
มีการนำ sniffing program มาใช้เป็นเวลานานแล้ว และลักษณะการใช้จะแบ่งเป็น 2 ประเภทคือ sniffer เชิงพานิชย์ ซึ่งใช้ในการดูแลเครือข่ายและ sniffer ซ่อนเร้น ซึ่งใช้ในการโจมตีหรือบุกรุกคอมพิวเตอร์ โดยปกติการใช้งานโปรแกรมพวกนี้ ได้แก่
การดักจับรหัสผ่านและ user name จากเครือข่าย ซึ่ง hacker/cracker ใช้ในการเจาะเข้าสู่ระบบ
-ใช้ในการวิเคราะห์ปัญหาเรื่องความผิดพลาดของเครือข่าย
-การวิเคราะห์ประสิทธิภาพของเครือข่าย
-ใช้ในระบบตรวจจับการบุกรุก
สรุป sniffer เป็นอุปกรณ์ดักฟังข้อมูลในเครื่อข่าย มันจะดักฟังการสนทนากันของเครื่อข่ายคล้ายๆกับการดักฟังโทรศัพท์แต่การดักฟังโทรศัพท์จะทำได้ทีละเครื่องส่วน sniffer ทำได้ทีเดียวทั้งnetworkเลย
อ้างอิง www.kingsolder.com
sniffer คืออุปกรณ์ที่ต่อเข้ากับเครือข่ายคอมพิวเตอร์และคอยดักฟังข้อมูลในเครือข่ายและโปรแกรม “sniffer” เป็นโปรแกรม ที่จะคอยดักฟังการสนทนากันของเครือข่าย แต่จะเห็นการสนทนากันนั้นจะเป็นข้อมูลไบนารี ดังนั้นโปรแกรมดังกล่าวต้องทำ การถอดรหัสของข้อมูลของคอมพิวเตอร์ เพื่อจะให้รู้ถึงการสนทนานั้นได้
มีการนำ sniffing program มาใช้เป็นเวลานานแล้ว และลักษณะการใช้จะแบ่งเป็น 2 ประเภทคือ sniffer เชิงพานิชย์ ซึ่งใช้ในการดูแลเครือข่ายและ sniffer ซ่อนเร้น ซึ่งใช้ในการโจมตีหรือบุกรุกคอมพิวเตอร์ โดยปกติการใช้งานโปรแกรมพวกนี้ ได้แก่
การดักจับรหัสผ่านและ user name จากเครือข่าย ซึ่ง hacker/cracker ใช้ในการเจาะเข้าสู่ระบบ
-ใช้ในการวิเคราะห์ปัญหาเรื่องความผิดพลาดของเครือข่าย
-การวิเคราะห์ประสิทธิภาพของเครือข่าย
-ใช้ในระบบตรวจจับการบุกรุก
สรุป sniffer เป็นอุปกรณ์ดักฟังข้อมูลในเครื่อข่าย มันจะดักฟังการสนทนากันของเครื่อข่ายคล้ายๆกับการดักฟังโทรศัพท์แต่การดักฟังโทรศัพท์จะทำได้ทีละเครื่องส่วน sniffer ทำได้ทีเดียวทั้งnetworkเลย
อ้างอิง www.kingsolder.com
snifferคือ
sniffer คืออุปกรณ์ที่ต่อเข้ากับเครือข่ายคอมพิวเตอร์และคอยดักฟังข้อมูลในเครือข่ายและโปรแกรม “sniffer” เป็นโปรแกรม ที่จะคอยดักฟังการสนทนากันของเครือข่าย แต่จะเห็นการสนทนากันนั้นจะเป็นข้อมูลไบนารี ดังนั้นโปรแกรมดังกล่าวต้องทำ การถอดรหัสของข้อมูลของคอมพิวเตอร์ เพื่อจะให้รู้ถึงการสนทนานั้นได้
มีการนำ sniffing program มาใช้เป็นเวลานานแล้ว และลักษณะการใช้จะแบ่งเป็น 2 ประเภทคือ sniffer เชิงพานิชย์ ซึ่งใช้ในการดูแลเครือข่ายและ sniffer ซ่อนเร้น ซึ่งใช้ในการโจมตีหรือบุกรุกคอมพิวเตอร์ โดยปกติการใช้งานโปรแกรมพวกนี้ ได้แก่
การดักจับรหัสผ่านและ user name จากเครือข่าย ซึ่ง hacker/cracker ใช้ในการเจาะเข้าสู่ระบบ
-ใช้ในการวิเคราะห์ปัญหาเรื่องความผิดพลาดของเครือข่าย
-การวิเคราะห์ประสิทธิภาพของเครือข่าย
-ใช้ในระบบตรวจจับการบุกรุก
สรุป sniffer เป็นอุปกรณ์ดักฟังข้อมูลในเครื่อข่าย มันจะดักฟังการสนทนากันของเครื่อข่ายคล้ายๆกับการดักฟังโทรศัพท์แต่การดักฟังโทรศัพท์จะทำได้ทีละเครื่องส่วน sniffer ทำได้ทีเดียวทั้งnetworkเลย
sniffer คืออุปกรณ์ที่ต่อเข้ากับเครือข่ายคอมพิวเตอร์และคอยดักฟังข้อมูลในเครือข่ายและโปรแกรม “sniffer” เป็นโปรแกรม ที่จะคอยดักฟังการสนทนากันของเครือข่าย แต่จะเห็นการสนทนากันนั้นจะเป็นข้อมูลไบนารี ดังนั้นโปรแกรมดังกล่าวต้องทำ การถอดรหัสของข้อมูลของคอมพิวเตอร์ เพื่อจะให้รู้ถึงการสนทนานั้นได้
มีการนำ sniffing program มาใช้เป็นเวลานานแล้ว และลักษณะการใช้จะแบ่งเป็น 2 ประเภทคือ sniffer เชิงพานิชย์ ซึ่งใช้ในการดูแลเครือข่ายและ sniffer ซ่อนเร้น ซึ่งใช้ในการโจมตีหรือบุกรุกคอมพิวเตอร์ โดยปกติการใช้งานโปรแกรมพวกนี้ ได้แก่
การดักจับรหัสผ่านและ user name จากเครือข่าย ซึ่ง hacker/cracker ใช้ในการเจาะเข้าสู่ระบบ
-ใช้ในการวิเคราะห์ปัญหาเรื่องความผิดพลาดของเครือข่าย
-การวิเคราะห์ประสิทธิภาพของเครือข่าย
-ใช้ในระบบตรวจจับการบุกรุก
สรุป sniffer เป็นอุปกรณ์ดักฟังข้อมูลในเครื่อข่าย มันจะดักฟังการสนทนากันของเครื่อข่ายคล้ายๆกับการดักฟังโทรศัพท์แต่การดักฟังโทรศัพท์จะทำได้ทีละเครื่องส่วน sniffer ทำได้ทีเดียวทั้งnetworkเลย
ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการMIS[management infomationsystem]
เป็นระบบสารสนเทสที่ใช้คอมพิวเตอรืทำงาน ผลิตรายงานสรุป ที่มีรูปแบบและมีโครงสร้างที่เป็นมาตราฐานใช้สนับสนุนผู้บริหารระดับกลาง มีความต่างกับระบบประมวลผลรายการคือ ระบบประมวลผลรายการเป็การสร้างฐานข้อมูล แต่ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการใช้ฐานข้อมูลสามารถดึงข้อมลจากฐานข้อมูลในฝ่ายต่างๆโดยใช้ระบบจัดการฐานข้อมูลมาบูรณาการเข้าไว้ด้วย
ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการทำหน้าที่นำข้อมูลจากระบบประมวลผลมาสรุปให้เป็นรายงานสำหรับผู้บริหารระดับกลาง เช่นรายงานสรุปยออดขายรายสัปดาห์
อ้างอิง หนังสือคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศสมัยใหม่
เป็นระบบสารสนเทสที่ใช้คอมพิวเตอรืทำงาน ผลิตรายงานสรุป ที่มีรูปแบบและมีโครงสร้างที่เป็นมาตราฐานใช้สนับสนุนผู้บริหารระดับกลาง มีความต่างกับระบบประมวลผลรายการคือ ระบบประมวลผลรายการเป็การสร้างฐานข้อมูล แต่ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการใช้ฐานข้อมูลสามารถดึงข้อมลจากฐานข้อมูลในฝ่ายต่างๆโดยใช้ระบบจัดการฐานข้อมูลมาบูรณาการเข้าไว้ด้วย
ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการทำหน้าที่นำข้อมูลจากระบบประมวลผลมาสรุปให้เป็นรายงานสำหรับผู้บริหารระดับกลาง เช่นรายงานสรุปยออดขายรายสัปดาห์
อ้างอิง หนังสือคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศสมัยใหม่
วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
เทคโนโลยีช่วยการเดินทางในอนาคตกับ PND
โดย ภาสกร ประถมบุตร
หลายประเทศในโลก โดยเฉพาะประเทศไทยซึ่งติดอันดับปัญหาการจราจรคับคั่งประเทศหนึ่ง ไม่แพ้ประเทศใดในโลก โดยเฉพาะอย่างในเมืองหลวง ที่เป็นจุดศูนย์รวมความเจริญแทบจะทุกแขนง ไม่ว่าจะใช้เส้นทางไหน เราก็จะเผชิญกับปัญหารถติด ทั้งเช้า สาย บ่าย เย็น เวลาจะออกไปไหนทีก็ต้องพยายามหาเส้นทางที่เลี่ยงรถติด บางครั้งคิดแล้วว่าเส้นทางนี้รถน่าจะว่าง แต่คาดการณ์ผิดก็มีไม่น้อย ทำอย่างไรเราถึงจะทราบล่วงหน้าว่าเส้นทางที่เราจะไปมีอะไรอยู่ข้างหน้า จะมีเครื่องมือเครื่องใช้อะไรช่วยในการอำนวยความสะดวกให้กับผู้เดินทางสัญจรในท้องถนนบ้าง ซึ่งในยุคโลกาภิวัตน์นี้เราก็ต้องมองไปที่ไอทีตัวช่วยแสนรู้ ที่จะช่วยเปลี่ยนชีวิตการเดินทางให้ราบเรียบขึ้น เทคโนโลยีเข้ามาช่วยเหลือการเดินทาง จึงเป็นเสมือนผู้นำทางบนท้องถนนเพื่อให้เกิดความคล่องตัว ค้นหาเส้นทางไปยังจุดหมายได้อย่างปลอดภัย หรือช่วยบริการเส้นทางการเดินทาง การรายงานสถานการณ์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในระหว่างการเดินทาง หากพบเห็นจุดไม่ปลอดภัยหรือเกิดความเสี่ยงด้วยความฉับไว สามารถคำนวณเส้นทางเมื่อมีการปรับเปลี่ยนเส้นทางใกล้เคียงเพื่ออำนวยความสะดวกสบายในการเดินทางของคุณ
ความคิดในการนำอุปกรณ์เพื่อช่วยในการนำทาง PND (Personal Navigation Device) จึงเป็นจุดเปลี่ยนทางด้านเทคโนโลยีอีกตัวหนึ่ง ซึ่งอีกไม่นานนี้ ในบ้านเราจะเห็นการนำมาใช้กันอย่างแพร่หลาย เป็นลักษณะเติบโตอย่างป็นก้าวกระโดด เนื่องจากมีความขีดความสามารถซึ่งบ่งบอกถึงความแม่นยำทางด้านเทคโนโลยีในระบบเนวิเกเตอร์ที่ทันสมัย และตอบสนองความต้องการของผู้ใช้รถบนท้องถนนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
PND อุปกรณ์ช่วยนำทาง
จากการคาดการณ์ของบริษัทอีเอสอาร์ไอ (ประเทศไทย) ซึ่งเป็นผู้นำส่วนแบ่งตลาดอุปกรณ์ช่วยนำทางหรือ PND ที่คาดการณ์ว่าจะขาย PNDได้ถึงแสนเครื่องหรือประมาณ 500 ล้านบาทในปี 2551 นี้ และในอีก 5-10 ปี PND จะเข้าไปอยู่ในรถถึง 50% ของจำนวนรถทั้งหมดในประเทศ นั่นแสดงให้เห็นว่าตลาด PND ในบ้านเราเติบโตอย่างรวดเร็วและยังมีอนาคตอีกไกล สาเหตุหนึ่งอาจจะเป็นเพราะราคาที่ถูกลง ความแม่นยำที่สูงขึ้นตามเทคโนโลยี กอรปกับมีการนำ GPS (Global Positioning System)ไปผนวกกับโทรศัพท์มือถือ หรือแม้แต่พจนานุกรมอิเล็กทรอนิกส์ ก็ยังทำให้อุปกรณ์เหล่านี้ช่วยนำทางและค้นหาจุดสนใจในแผนที่ได้ แล้วยังมีผลทำให้ช่องทางจำหน่ายมีเพิ่มมากขึ้น ตลาดจึงโตขึ้นอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามที่เราเห็นนี้เป็นเพียงแค่การเริ่มต้นเท่านั้น ตลาด PND ในเมืองไทยจะก้าวกระโดดอย่างเร็วในไม่อีกไม่นาน จุดเปลี่ยนคือการนำข้อมูลจราจรและเหตุการณ์ Real-Time ส่งตรงไปยัง PND ทำให้ผู้ใช้ได้รับรายงานจราจรและเหตุการณ์สดๆ เพื่อช่วยคำนวณเส้นทางหลบหลีกการจราจรที่คับคลั่ง แทนที่จะดูแต่แผนที่ที่ติดมากับ PND อย่างเดียว นอกจากนี้ผู้ใช้ยังสามารถล่วงรู้จุดที่เกิดอุบัติเหตุ จุดที่ปิดถนน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะเข้ามาใน PND ตลอดเวลา และสามารถเรียกดูได้ทันที ต่างจากการเปิดฟังรายงานจราจรทางสถานีวิทยุจราจรที่คุ้นเคยกัน เพราะบางครั้งเราต้องการข้อมูลเฉพาะเส้นทางที่เราจะไปในทันทีและต่อเนื่อง ซึ่งสถานีวิทยุจราจรคงจะให้บริการในภาพรวมมากกว่าที่จะเป็นความต้องการของแต่ละบุคคล
จากที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่าจุดเปลี่ยนของวงการ PND คือการรับข้อมูล Real-Time ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่เรื่องใหม่ ในประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างในยุโรป อเมริกาเหนือ และญี่ปุ่นก็มีบริการแบบนี้มานานแล้ว ดังจะเห็นได้จากโฆษณาอุปกรณ์ PND ที่ขายในสหรัฐอเมริกา ซึ่งระบุจุดขายว่ามีรายงานสภาพจราจร Real-Time
ท่านผู้อ่านคงจะข้องใจว่าทำไมบริการดีๆ แบบนี้ไม่มีในเมืองไทย โดยเฉพาะมหานครอย่างกรุงเทพฯที่มีปัญหารถติดไม่แพ้ชาติใดในโลก จริงๆ แล้วหน่วยงานของรัฐหลายหน่วยงานก็มีการเก็บข้อมูลจราจร Real-Time ไม่ว่าจะเป็น กทม.ที่มีป้ายจราจรอัจฉริยะทั่วกรุงเทพฯ การทางพิเศษฯ ที่มี IMAP แสดงสภาพจราจรบนทางด่วนผ่านแผนที่บนเว็บสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ที่มีข้อมูลจราจรรอบวงแหวนรัชดาแสดงอยู่ในเว็บ ตำรวจที่มีข้อมูลจราจรจาก CCTV ตามแยกต่างๆ และข้อมูลจากสถานีวิทยุข่าวสารจราจรอีกหลายแห่งก็มีข้อมูลจราจร หากแต่ว่ายังไม่มีหน่วยงานใดที่จะกระจายข้อมูลเข้าไปใน PND โดยตรง เพราะไม่ใช่บทบาทหน้าที่ของหน่วยงานเหล่านี้ อย่างไรก็ตามขณะนี้สมาคมระบบขนส่งและจราจรอัจฉริยะไทยได้ริเริ่มนำร่องโครงการ Traffic Information Center หรือ TIC โดยร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ข้างต้นเพื่อจัดเก็บและรวบรวมข้อมูลจราจร Real-Time แล้วส่งให้ผู้ให้บริการเพื่อกระจายข้อมูลเข้าไปยัง PND โทรศัพท์มือถือและเว็บทางอินเทอร์เน็ต โครงการนำร่อง TIC นี้จะนำเสนอเป็น show case ในงาน ITS AP 2009 ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2552 (http://ITS-AP2009.in.th) ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ
ผมจะขอเล่าถึงเทคโนโลยีที่มีแนวโน้มใช้ในขั้นตอนการเผยแพร่ข้อมูลจราจร Real-Time ของ TIC ผ่านคลื่นวิทยุไปยัง PND ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายหลังจากมีการรวบรวมข้อมูลจากตำแหน่งต่างๆ ข้างต้น นำมาประมวลผลแล้วจัดรูปแบบให้เหมาะสมต่อการเผยแพร่
รูปการกระจายข้อมูลไปยัง PND ที่มาภาพ www.navigadget.com
วิธีที่การกระจายข้อมูลจราจร Real-Time ที่เป็นสากลมีอยู่อย่างน้อยสามวิธีได้แก่ TMC, VICS และ TPEG
TMC
สำหรับ TMC หรือ (Traffic Message Channel) นั้นเป็นมาตรฐานที่ใช้ในยุโรป แต่ปัจจุบันก็มีใช้ในอเมริกาเหนือ ออสเตรเลียและในประเทศจีน สาเหตุที่ประเทศจีนใช้ TMC ก็เนื่องมาจากการเป็นเจ้าภาพกี่ฬาโอลิมปิคทึ่มหานครปักกิ่ง เพื่อแก้ปัญหาจราจร จีนต้องการเทคโนโลยีที่พร้อมใช้ได้ทันงานโอลิมปิคจึงเลือกใช้ TMC ซึ่งก็ถือเป็นเทคโนโลยีที่นิยมใช้แพร่หลายและเป็นมาตรฐานสากล ISO 14819 สามารถหาอุปกรณ์ทั้งตัวรับตัวส่งได้ง่าย มีให้เลือกมากมายหลายยี่ห้อ TMC นั้นถูกออกแบบมาเพื่อใช้ให้ข้อมูลจราจร Real-time และสภาพอากาศโดยการกระจายข้อมูลผ่าน RDS (Radio Data System) เข้าไปยังอุปกรณ์ในยานพาหนะเพื่อช่วยค้นหาเส้นทางที่สภาพจราจรคล่องตัว นอกจากนี้ยังมีข้อความที่แจ้งเตือนเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นรอบๆ บริเวณที่เราอยู่เช่น อุบัติเหตุ ถนนที่ปิดซ่อมบำรุง เป็นต้น
VICS
VICS (Vehicle Information and Communication System) เป็นระบบรายงานข้อมูลแก่ผู้เดินทางทางถนนของประเทศญี่ปุ่น VICS เริ่มใช้มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2549 จนปัจจุบันมีผู้ใช้กว่า 17 ล้านคน VICS มีหลักการคล้ายๆ กันกับ TMC คือมีหน่วยงานที่รับข้อมูล ประมวลผล และกระจายข้อมูลเข้ามาในยานพาหนะ แต่เทคโนโลยีของญี่ปุ่นมีลูกเล่นแพรวพราวกว่า TMC มากเพราะใช้อัตราการส่งหรือ Bit rate ที่สูงกว่า แต่ VICS ก็มีใช้ในประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น จนกระทั่งมหกรรมโอลิมปิคที่ปักกิ่งที่ผ่านมา VICS ได้เริ่มนำมาใช้ในประเทศจีนเพราะมีลูกค้าระดับบนที่ต้องการความหรูหราและฟังก์ชันที่เหนือกว่า TMC โดยที่ส่วนใหญ่อุปกรณ์แสดงผล VICS จะติดมากับรถหรูของญี่ปุ่นที่นำเข้ามาอยู่แล้ว ทำให้ประเทศจีนเป็นชาติแรกที่ใช้ทั้งสองระบบคือ TMC และ VICS ร่วมกัน
TPEG
สำหรับ TPEG (Traffic Protocol Expert's Group) เป็นมาตรฐานใหม่ของ ISO (ISO 14819 และ ISO 24530) ที่คิดขึ้นมาในปีค.ศ. 1997 โดย EBU (European Broadcasting Union) เพื่อเอาชนะข้อจำกัดของ TMC และรองรับการใช้งานในอนาคต แต่ปัจจุบันยังไม่มีการใช้งานจริง ข้อจำกัดของ TMC คือการออกแบบเพื่อใช้กับ RDS (Radio Data System) อย่างเดียว ทำให้ทีมีแบรน์วิธที่จำกัด ข้อมูลที่ส่งต้องใช้วิธีเข้ารหัสโดยกำหนดความหมายไว้ล่วงหน้าตายตัวอีกทั้งมีขนาดและจำนวนที่จำกัด เช่นประเภทของเหตุการณ์มีได้เพียง 2,048 ประเภท ตำแหน่งต่างๆ บนแผนที่ก็ต้องทำการกำหนดรหัสไว้ใน Location Table ล่วงหน้า ไม่คล่องตัวที่จะเปลี่ยนแปลงบ่อยๆ แต่แนวคิดของ TPEG ต้องการส่งข้อความที่มนุษย์เข้าใจได้ และไม่ได้สร้างมาเพื่อ RDS อย่างเดียว จึงส่งข้อความเป็น Byte-oriented stream ใช้ได้ทั้ง RDS และสื่อรูปแบบอื่นอย่าง DVB DARC 3G หรือ WiMAX ในอนาคตได้ โครงสร้างของ TPEG ตาม OSI Layer แสดงในรูปที่ 9 ซึ่งจะเห็นได้ใน Data Link Layer ว่า TPEG ใช้ได้กับสื่อหลายประเภท
บทสรุป
จุดเปลี่ยนของ PND คือความสามารถในการรับข้อมูลจราจรและเหตุการณ์แบบ Real-Time เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้เดินทาง เสริมจากการฟังรายงานผ่านวิทยุจราจรที่มีอยู่ จุดเด่นของการรายงานจราจรและเหตุการณ์ผ่าน PND คือการเรียกดูได้ทันทีที่ต้องการ และสามารถค้นหาเส้นทางใหม่ได้อัตโนมัติหากมีเหตุการณ์หรือการจราจรติดขัดบนเส้นทางเดิม ตัว PND เองคงจะติดตลาดได้ไม่ยาก สิ่งที่ยากคือทำอย่างไรที่จะให้มีข้อมูลที่ถูกต้องเชื่อถือได้ป้อนให้
PND ตลอดเวลา งานนี้ต้องการความร่วมมือกันหลายหน่วยงานรวมทั้งนักวิจัยเพื่อประมวลผลข้อมุลที่ได้รับ จัดรูปแบบให้เหมาะสมก่อนจะส่งต่อให้ provider นำไปกระจายให้ผู้ใช้ แนวคิดนี้ได้เริ่มนำร่องโดยสมาคมระบบขนส่งและจราจรอัจฉริยะไทยที่รวบรวมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างๆ ร่วมนำร่อง TIC ในกทม. เพื่อให้ TMC VICS และ TPEG Providers มีข้อมูลไปกระจายให้ผู้ใช้ โครงการนี้จะเห็นผลในเดือนกรกฎาคม 2552 และจะขยายผลเป็นหน่วยงาน TIC ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปแบบมูลนิธิคล้ายกับ VICS Center ในประเทศญี่ปุ่น เพื่อให้เป็นหน่วยงานกลางเดินทาง
บทสรุป
จุดเปลี่ยนของ PND ในบ้านเราคือความสามารถในการรับข้อมูลจราจรและเหตุการณ์แบบ Real-Time เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้เดินทาง เสริมจากการฟังรายงานผ่านวิทยุจราจรที่มีอยู่ จุดเด่นของการรายงานจราจรและเหตุการณ์ผ่าน PND คือการเรียกดูได้ทันทีที่ต้องการ และสามารถค้นหาเส้นทางใหม่ได้อัตโนมัติหากมีเหตุการณ์หรือการจราจรติดขัดบนเส้นทางเดิม ตัว PND เองคงจะติดตลาดได้ไม่ยาก สิ่งที่ยากคือทำอย่างไรที่จะให้มีข้อมูลที่ถูกต้องเชื่อถือได้ป้อนให้ PND ตลอดเวลา งานนี้ต้องการความร่วมมือกันหลายหน่วยงานรวมทั้งนักวิจัยเพื่อประมวลผลข้อมุลที่ได้รับ จัดรูปแบบให้เหมาะสมก่อนจะส่งต่อให้ provider นำไปกระจายให้ผู้ใช้ แนวคิดนี้ได้เริ่มนำร่องโดยสมาคมระบบขนส่งและจราจรอัจฉริยะไทยที่รวบรวมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างๆ ร่วมนำร่อง TIC ในกทม. เพื่อให้ TMC VICS และ TPEG Providers มีข้อมูลไปกระจายให้ผู้ใช้ โครงการนี้จะเห็นผลในเดือนกรกฎาคม 2552 และจะขยายผลเป็นหน่วยงาน TIC ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปแบบมูลนิธิคล้ายกับ VICS Center ในประเทศญี่ปุ่น เพื่อให้เป็นหน่วยงานกลางให้ข้อมูลแก่ผู้เดินทางไม่เฉพาะแค่กรุงเทพฯ แต่ทุกถนนทั่วไทย
อ้างอิง
วารสารเนคเทค ปีที่ 15 ฉบับที่ 80 เดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม 2551
โดย ภาสกร ประถมบุตร
หลายประเทศในโลก โดยเฉพาะประเทศไทยซึ่งติดอันดับปัญหาการจราจรคับคั่งประเทศหนึ่ง ไม่แพ้ประเทศใดในโลก โดยเฉพาะอย่างในเมืองหลวง ที่เป็นจุดศูนย์รวมความเจริญแทบจะทุกแขนง ไม่ว่าจะใช้เส้นทางไหน เราก็จะเผชิญกับปัญหารถติด ทั้งเช้า สาย บ่าย เย็น เวลาจะออกไปไหนทีก็ต้องพยายามหาเส้นทางที่เลี่ยงรถติด บางครั้งคิดแล้วว่าเส้นทางนี้รถน่าจะว่าง แต่คาดการณ์ผิดก็มีไม่น้อย ทำอย่างไรเราถึงจะทราบล่วงหน้าว่าเส้นทางที่เราจะไปมีอะไรอยู่ข้างหน้า จะมีเครื่องมือเครื่องใช้อะไรช่วยในการอำนวยความสะดวกให้กับผู้เดินทางสัญจรในท้องถนนบ้าง ซึ่งในยุคโลกาภิวัตน์นี้เราก็ต้องมองไปที่ไอทีตัวช่วยแสนรู้ ที่จะช่วยเปลี่ยนชีวิตการเดินทางให้ราบเรียบขึ้น เทคโนโลยีเข้ามาช่วยเหลือการเดินทาง จึงเป็นเสมือนผู้นำทางบนท้องถนนเพื่อให้เกิดความคล่องตัว ค้นหาเส้นทางไปยังจุดหมายได้อย่างปลอดภัย หรือช่วยบริการเส้นทางการเดินทาง การรายงานสถานการณ์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในระหว่างการเดินทาง หากพบเห็นจุดไม่ปลอดภัยหรือเกิดความเสี่ยงด้วยความฉับไว สามารถคำนวณเส้นทางเมื่อมีการปรับเปลี่ยนเส้นทางใกล้เคียงเพื่ออำนวยความสะดวกสบายในการเดินทางของคุณ
ความคิดในการนำอุปกรณ์เพื่อช่วยในการนำทาง PND (Personal Navigation Device) จึงเป็นจุดเปลี่ยนทางด้านเทคโนโลยีอีกตัวหนึ่ง ซึ่งอีกไม่นานนี้ ในบ้านเราจะเห็นการนำมาใช้กันอย่างแพร่หลาย เป็นลักษณะเติบโตอย่างป็นก้าวกระโดด เนื่องจากมีความขีดความสามารถซึ่งบ่งบอกถึงความแม่นยำทางด้านเทคโนโลยีในระบบเนวิเกเตอร์ที่ทันสมัย และตอบสนองความต้องการของผู้ใช้รถบนท้องถนนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
PND อุปกรณ์ช่วยนำทาง
จากการคาดการณ์ของบริษัทอีเอสอาร์ไอ (ประเทศไทย) ซึ่งเป็นผู้นำส่วนแบ่งตลาดอุปกรณ์ช่วยนำทางหรือ PND ที่คาดการณ์ว่าจะขาย PNDได้ถึงแสนเครื่องหรือประมาณ 500 ล้านบาทในปี 2551 นี้ และในอีก 5-10 ปี PND จะเข้าไปอยู่ในรถถึง 50% ของจำนวนรถทั้งหมดในประเทศ นั่นแสดงให้เห็นว่าตลาด PND ในบ้านเราเติบโตอย่างรวดเร็วและยังมีอนาคตอีกไกล สาเหตุหนึ่งอาจจะเป็นเพราะราคาที่ถูกลง ความแม่นยำที่สูงขึ้นตามเทคโนโลยี กอรปกับมีการนำ GPS (Global Positioning System)ไปผนวกกับโทรศัพท์มือถือ หรือแม้แต่พจนานุกรมอิเล็กทรอนิกส์ ก็ยังทำให้อุปกรณ์เหล่านี้ช่วยนำทางและค้นหาจุดสนใจในแผนที่ได้ แล้วยังมีผลทำให้ช่องทางจำหน่ายมีเพิ่มมากขึ้น ตลาดจึงโตขึ้นอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามที่เราเห็นนี้เป็นเพียงแค่การเริ่มต้นเท่านั้น ตลาด PND ในเมืองไทยจะก้าวกระโดดอย่างเร็วในไม่อีกไม่นาน จุดเปลี่ยนคือการนำข้อมูลจราจรและเหตุการณ์ Real-Time ส่งตรงไปยัง PND ทำให้ผู้ใช้ได้รับรายงานจราจรและเหตุการณ์สดๆ เพื่อช่วยคำนวณเส้นทางหลบหลีกการจราจรที่คับคลั่ง แทนที่จะดูแต่แผนที่ที่ติดมากับ PND อย่างเดียว นอกจากนี้ผู้ใช้ยังสามารถล่วงรู้จุดที่เกิดอุบัติเหตุ จุดที่ปิดถนน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะเข้ามาใน PND ตลอดเวลา และสามารถเรียกดูได้ทันที ต่างจากการเปิดฟังรายงานจราจรทางสถานีวิทยุจราจรที่คุ้นเคยกัน เพราะบางครั้งเราต้องการข้อมูลเฉพาะเส้นทางที่เราจะไปในทันทีและต่อเนื่อง ซึ่งสถานีวิทยุจราจรคงจะให้บริการในภาพรวมมากกว่าที่จะเป็นความต้องการของแต่ละบุคคล
จากที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่าจุดเปลี่ยนของวงการ PND คือการรับข้อมูล Real-Time ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่เรื่องใหม่ ในประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างในยุโรป อเมริกาเหนือ และญี่ปุ่นก็มีบริการแบบนี้มานานแล้ว ดังจะเห็นได้จากโฆษณาอุปกรณ์ PND ที่ขายในสหรัฐอเมริกา ซึ่งระบุจุดขายว่ามีรายงานสภาพจราจร Real-Time
ท่านผู้อ่านคงจะข้องใจว่าทำไมบริการดีๆ แบบนี้ไม่มีในเมืองไทย โดยเฉพาะมหานครอย่างกรุงเทพฯที่มีปัญหารถติดไม่แพ้ชาติใดในโลก จริงๆ แล้วหน่วยงานของรัฐหลายหน่วยงานก็มีการเก็บข้อมูลจราจร Real-Time ไม่ว่าจะเป็น กทม.ที่มีป้ายจราจรอัจฉริยะทั่วกรุงเทพฯ การทางพิเศษฯ ที่มี IMAP แสดงสภาพจราจรบนทางด่วนผ่านแผนที่บนเว็บสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ที่มีข้อมูลจราจรรอบวงแหวนรัชดาแสดงอยู่ในเว็บ ตำรวจที่มีข้อมูลจราจรจาก CCTV ตามแยกต่างๆ และข้อมูลจากสถานีวิทยุข่าวสารจราจรอีกหลายแห่งก็มีข้อมูลจราจร หากแต่ว่ายังไม่มีหน่วยงานใดที่จะกระจายข้อมูลเข้าไปใน PND โดยตรง เพราะไม่ใช่บทบาทหน้าที่ของหน่วยงานเหล่านี้ อย่างไรก็ตามขณะนี้สมาคมระบบขนส่งและจราจรอัจฉริยะไทยได้ริเริ่มนำร่องโครงการ Traffic Information Center หรือ TIC โดยร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ข้างต้นเพื่อจัดเก็บและรวบรวมข้อมูลจราจร Real-Time แล้วส่งให้ผู้ให้บริการเพื่อกระจายข้อมูลเข้าไปยัง PND โทรศัพท์มือถือและเว็บทางอินเทอร์เน็ต โครงการนำร่อง TIC นี้จะนำเสนอเป็น show case ในงาน ITS AP 2009 ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2552 (http://ITS-AP2009.in.th) ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ
ผมจะขอเล่าถึงเทคโนโลยีที่มีแนวโน้มใช้ในขั้นตอนการเผยแพร่ข้อมูลจราจร Real-Time ของ TIC ผ่านคลื่นวิทยุไปยัง PND ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายหลังจากมีการรวบรวมข้อมูลจากตำแหน่งต่างๆ ข้างต้น นำมาประมวลผลแล้วจัดรูปแบบให้เหมาะสมต่อการเผยแพร่
รูปการกระจายข้อมูลไปยัง PND ที่มาภาพ www.navigadget.com
วิธีที่การกระจายข้อมูลจราจร Real-Time ที่เป็นสากลมีอยู่อย่างน้อยสามวิธีได้แก่ TMC, VICS และ TPEG
TMC
สำหรับ TMC หรือ (Traffic Message Channel) นั้นเป็นมาตรฐานที่ใช้ในยุโรป แต่ปัจจุบันก็มีใช้ในอเมริกาเหนือ ออสเตรเลียและในประเทศจีน สาเหตุที่ประเทศจีนใช้ TMC ก็เนื่องมาจากการเป็นเจ้าภาพกี่ฬาโอลิมปิคทึ่มหานครปักกิ่ง เพื่อแก้ปัญหาจราจร จีนต้องการเทคโนโลยีที่พร้อมใช้ได้ทันงานโอลิมปิคจึงเลือกใช้ TMC ซึ่งก็ถือเป็นเทคโนโลยีที่นิยมใช้แพร่หลายและเป็นมาตรฐานสากล ISO 14819 สามารถหาอุปกรณ์ทั้งตัวรับตัวส่งได้ง่าย มีให้เลือกมากมายหลายยี่ห้อ TMC นั้นถูกออกแบบมาเพื่อใช้ให้ข้อมูลจราจร Real-time และสภาพอากาศโดยการกระจายข้อมูลผ่าน RDS (Radio Data System) เข้าไปยังอุปกรณ์ในยานพาหนะเพื่อช่วยค้นหาเส้นทางที่สภาพจราจรคล่องตัว นอกจากนี้ยังมีข้อความที่แจ้งเตือนเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นรอบๆ บริเวณที่เราอยู่เช่น อุบัติเหตุ ถนนที่ปิดซ่อมบำรุง เป็นต้น
VICS
VICS (Vehicle Information and Communication System) เป็นระบบรายงานข้อมูลแก่ผู้เดินทางทางถนนของประเทศญี่ปุ่น VICS เริ่มใช้มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2549 จนปัจจุบันมีผู้ใช้กว่า 17 ล้านคน VICS มีหลักการคล้ายๆ กันกับ TMC คือมีหน่วยงานที่รับข้อมูล ประมวลผล และกระจายข้อมูลเข้ามาในยานพาหนะ แต่เทคโนโลยีของญี่ปุ่นมีลูกเล่นแพรวพราวกว่า TMC มากเพราะใช้อัตราการส่งหรือ Bit rate ที่สูงกว่า แต่ VICS ก็มีใช้ในประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น จนกระทั่งมหกรรมโอลิมปิคที่ปักกิ่งที่ผ่านมา VICS ได้เริ่มนำมาใช้ในประเทศจีนเพราะมีลูกค้าระดับบนที่ต้องการความหรูหราและฟังก์ชันที่เหนือกว่า TMC โดยที่ส่วนใหญ่อุปกรณ์แสดงผล VICS จะติดมากับรถหรูของญี่ปุ่นที่นำเข้ามาอยู่แล้ว ทำให้ประเทศจีนเป็นชาติแรกที่ใช้ทั้งสองระบบคือ TMC และ VICS ร่วมกัน
TPEG
สำหรับ TPEG (Traffic Protocol Expert's Group) เป็นมาตรฐานใหม่ของ ISO (ISO 14819 และ ISO 24530) ที่คิดขึ้นมาในปีค.ศ. 1997 โดย EBU (European Broadcasting Union) เพื่อเอาชนะข้อจำกัดของ TMC และรองรับการใช้งานในอนาคต แต่ปัจจุบันยังไม่มีการใช้งานจริง ข้อจำกัดของ TMC คือการออกแบบเพื่อใช้กับ RDS (Radio Data System) อย่างเดียว ทำให้ทีมีแบรน์วิธที่จำกัด ข้อมูลที่ส่งต้องใช้วิธีเข้ารหัสโดยกำหนดความหมายไว้ล่วงหน้าตายตัวอีกทั้งมีขนาดและจำนวนที่จำกัด เช่นประเภทของเหตุการณ์มีได้เพียง 2,048 ประเภท ตำแหน่งต่างๆ บนแผนที่ก็ต้องทำการกำหนดรหัสไว้ใน Location Table ล่วงหน้า ไม่คล่องตัวที่จะเปลี่ยนแปลงบ่อยๆ แต่แนวคิดของ TPEG ต้องการส่งข้อความที่มนุษย์เข้าใจได้ และไม่ได้สร้างมาเพื่อ RDS อย่างเดียว จึงส่งข้อความเป็น Byte-oriented stream ใช้ได้ทั้ง RDS และสื่อรูปแบบอื่นอย่าง DVB DARC 3G หรือ WiMAX ในอนาคตได้ โครงสร้างของ TPEG ตาม OSI Layer แสดงในรูปที่ 9 ซึ่งจะเห็นได้ใน Data Link Layer ว่า TPEG ใช้ได้กับสื่อหลายประเภท
บทสรุป
จุดเปลี่ยนของ PND คือความสามารถในการรับข้อมูลจราจรและเหตุการณ์แบบ Real-Time เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้เดินทาง เสริมจากการฟังรายงานผ่านวิทยุจราจรที่มีอยู่ จุดเด่นของการรายงานจราจรและเหตุการณ์ผ่าน PND คือการเรียกดูได้ทันทีที่ต้องการ และสามารถค้นหาเส้นทางใหม่ได้อัตโนมัติหากมีเหตุการณ์หรือการจราจรติดขัดบนเส้นทางเดิม ตัว PND เองคงจะติดตลาดได้ไม่ยาก สิ่งที่ยากคือทำอย่างไรที่จะให้มีข้อมูลที่ถูกต้องเชื่อถือได้ป้อนให้
PND ตลอดเวลา งานนี้ต้องการความร่วมมือกันหลายหน่วยงานรวมทั้งนักวิจัยเพื่อประมวลผลข้อมุลที่ได้รับ จัดรูปแบบให้เหมาะสมก่อนจะส่งต่อให้ provider นำไปกระจายให้ผู้ใช้ แนวคิดนี้ได้เริ่มนำร่องโดยสมาคมระบบขนส่งและจราจรอัจฉริยะไทยที่รวบรวมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างๆ ร่วมนำร่อง TIC ในกทม. เพื่อให้ TMC VICS และ TPEG Providers มีข้อมูลไปกระจายให้ผู้ใช้ โครงการนี้จะเห็นผลในเดือนกรกฎาคม 2552 และจะขยายผลเป็นหน่วยงาน TIC ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปแบบมูลนิธิคล้ายกับ VICS Center ในประเทศญี่ปุ่น เพื่อให้เป็นหน่วยงานกลางเดินทาง
บทสรุป
จุดเปลี่ยนของ PND ในบ้านเราคือความสามารถในการรับข้อมูลจราจรและเหตุการณ์แบบ Real-Time เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้เดินทาง เสริมจากการฟังรายงานผ่านวิทยุจราจรที่มีอยู่ จุดเด่นของการรายงานจราจรและเหตุการณ์ผ่าน PND คือการเรียกดูได้ทันทีที่ต้องการ และสามารถค้นหาเส้นทางใหม่ได้อัตโนมัติหากมีเหตุการณ์หรือการจราจรติดขัดบนเส้นทางเดิม ตัว PND เองคงจะติดตลาดได้ไม่ยาก สิ่งที่ยากคือทำอย่างไรที่จะให้มีข้อมูลที่ถูกต้องเชื่อถือได้ป้อนให้ PND ตลอดเวลา งานนี้ต้องการความร่วมมือกันหลายหน่วยงานรวมทั้งนักวิจัยเพื่อประมวลผลข้อมุลที่ได้รับ จัดรูปแบบให้เหมาะสมก่อนจะส่งต่อให้ provider นำไปกระจายให้ผู้ใช้ แนวคิดนี้ได้เริ่มนำร่องโดยสมาคมระบบขนส่งและจราจรอัจฉริยะไทยที่รวบรวมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างๆ ร่วมนำร่อง TIC ในกทม. เพื่อให้ TMC VICS และ TPEG Providers มีข้อมูลไปกระจายให้ผู้ใช้ โครงการนี้จะเห็นผลในเดือนกรกฎาคม 2552 และจะขยายผลเป็นหน่วยงาน TIC ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปแบบมูลนิธิคล้ายกับ VICS Center ในประเทศญี่ปุ่น เพื่อให้เป็นหน่วยงานกลางให้ข้อมูลแก่ผู้เดินทางไม่เฉพาะแค่กรุงเทพฯ แต่ทุกถนนทั่วไทย
อ้างอิง
วารสารเนคเทค ปีที่ 15 ฉบับที่ 80 เดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม 2551
วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
โนเกีย: ปี 2011 เราจะไล่แอปเปิลและ RIM ทัน
Rick Simonson หัวหน้าฝ่ายมือถือคนใหม่ของโนเกีย (ย้ายมาจากตำแหน่ง CFO เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่แล้ว) ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ India Economics Times ว่า
ในปี 2010 โนเกียจะโตในตลาดละตินอเมริกามากกว่า RIM
ปี 2011 ยุทธศาสตร์ที่โนเกียวางเอาไว้ในช่วงที่ผ่านมาจะเริ่มออกผล และโนเกียจะไล่แอปเปิลกับ RIM ทันในตลาดสมาร์ทโฟน
สุดท้ายแล้วโนเกียจะชนะสงครามสมาร์ทโฟน เพราะนอกจากอีเมลแล้ว โนเกียยังจะเพิ่ม chat, เพลง, ความบันเทิงต่างๆ ลงในมือถือ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จ (แล้วคนอื่นไม่มีหรือไงหว่า? แต่เค้าพูดแบบนี้จริงๆ)
ตลาดสมาร์ทโฟนมีที่ว่างพอสำหรับระบบปฏิบัติการเพียง 4-5 รายเท่านั้น Palm มีระบบปฏิบัติการที่ดี แต่ส่วนแบ่งตลาดไม่ถึง 1% ทำให้ไม่ดึงดูดนักพัฒนาแน่นอน (แปลว่าโนเกียจะซื้อ webOS?)
เชื่อว่าเทคโนโลยีมือถือในปัจจุบันม่ความก้าวหน้าเป็นอย่างมากเช่นโทรศัพท์มือถือโนเกียในปี2011ก็มีแนวโน้มว่าจะมาแรงและจะวิ่งไล่ตามแอปเปิลและRimwได้ทันอย่างแน่นอน
Rick Simonson หัวหน้าฝ่ายมือถือคนใหม่ของโนเกีย (ย้ายมาจากตำแหน่ง CFO เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่แล้ว) ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ India Economics Times ว่า
ในปี 2010 โนเกียจะโตในตลาดละตินอเมริกามากกว่า RIM
ปี 2011 ยุทธศาสตร์ที่โนเกียวางเอาไว้ในช่วงที่ผ่านมาจะเริ่มออกผล และโนเกียจะไล่แอปเปิลกับ RIM ทันในตลาดสมาร์ทโฟน
สุดท้ายแล้วโนเกียจะชนะสงครามสมาร์ทโฟน เพราะนอกจากอีเมลแล้ว โนเกียยังจะเพิ่ม chat, เพลง, ความบันเทิงต่างๆ ลงในมือถือ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จ (แล้วคนอื่นไม่มีหรือไงหว่า? แต่เค้าพูดแบบนี้จริงๆ)
ตลาดสมาร์ทโฟนมีที่ว่างพอสำหรับระบบปฏิบัติการเพียง 4-5 รายเท่านั้น Palm มีระบบปฏิบัติการที่ดี แต่ส่วนแบ่งตลาดไม่ถึง 1% ทำให้ไม่ดึงดูดนักพัฒนาแน่นอน (แปลว่าโนเกียจะซื้อ webOS?)
เชื่อว่าเทคโนโลยีมือถือในปัจจุบันม่ความก้าวหน้าเป็นอย่างมากเช่นโทรศัพท์มือถือโนเกียในปี2011ก็มีแนวโน้มว่าจะมาแรงและจะวิ่งไล่ตามแอปเปิลและRimwได้ทันอย่างแน่นอน
โทรศัพท์มือถือx86จะมาในปี2011
ตลาดโทรศัพท์มือถือทุกวันนี้โดยเฉพาะสมาร์ตโฟนยังคงครองโดยซีพียู ARM เป็นหลัก แต่แนวทางของชิป Atom ที่ลงมายังอุปกรณ์ขนาดเล็กเช่น MID นั้นแสดงท่าที่ชัดเจนว่ามันจะมาบรรจบกับตลาดโทรศัพท์มือถือเข้าสักวันหนึ่ง คำถามคือเมื่อใหร่?
งานประชุมนักลงทุนของทางอินเทลได้มีการเปิดเผยแผนกลยุทธ์การวางตลาดของชิ ป Atom รุ่นใหม่ที่อยู่ในแผนที่มีชื่อรหัสว่า Medfield นั้นจะเป็นชิป Atom ตัวแรกที่ออกแบบมาสำหรับโทรศัพท์มือถือโดยเฉพาะ
รายละเอียดของชิป Medfield นั้นมีเพียงว่าจะใช้เทคโนโลยี 32 นาโนเมตรในการผลิต โดยทางอินเทลหวังว่าจะใช้ชิปนี้บุกตลาดโทรศัพท์สมาร์ตโฟนกระแสหลักที่มีขนาด ตลาดกว่า 400 ล้านตัวต่อปี
แต่ระหว่างนี้ชิป Moorestown ซึ่งน่าจะใกล้วางตลาดเร็วๆ นี้ ทางอินเทลก็เล็งที่จะบุกตลาดโทรศัพท์มือถือเช่นกัน แต่ยังคงจำกัดอยู่ในในตลาดระดับสูงราคาแพงเท่านั้น
สรุป เทคโนโลยีในยุคสมัยนี้มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ดังนั้นในโลกของการสื่อสารไร้พรมแดนจึงมีเทคโนโลยีใหม่ๆเข้ามาให้เราได้เห็นมากขึ้นในปัจจุบันอย่างเช่นโทรศัพท์มือถือ รุ่รx86ที่มี่แนวว่าจะเข้ามาในปี2011โดยมือถือรุ่นนี้มีความพิเศษตรงที่มีอุปกรณ์ขนาดเล็กอยู่ในตัวเครื่อง
อ้างอิงhttp://te.psu.ac.th/index.php?option=com_fireboard&Itemid=85&func=view&id=171&catid=31
ตลาดโทรศัพท์มือถือทุกวันนี้โดยเฉพาะสมาร์ตโฟนยังคงครองโดยซีพียู ARM เป็นหลัก แต่แนวทางของชิป Atom ที่ลงมายังอุปกรณ์ขนาดเล็กเช่น MID นั้นแสดงท่าที่ชัดเจนว่ามันจะมาบรรจบกับตลาดโทรศัพท์มือถือเข้าสักวันหนึ่ง คำถามคือเมื่อใหร่?
งานประชุมนักลงทุนของทางอินเทลได้มีการเปิดเผยแผนกลยุทธ์การวางตลาดของชิ ป Atom รุ่นใหม่ที่อยู่ในแผนที่มีชื่อรหัสว่า Medfield นั้นจะเป็นชิป Atom ตัวแรกที่ออกแบบมาสำหรับโทรศัพท์มือถือโดยเฉพาะ
รายละเอียดของชิป Medfield นั้นมีเพียงว่าจะใช้เทคโนโลยี 32 นาโนเมตรในการผลิต โดยทางอินเทลหวังว่าจะใช้ชิปนี้บุกตลาดโทรศัพท์สมาร์ตโฟนกระแสหลักที่มีขนาด ตลาดกว่า 400 ล้านตัวต่อปี
แต่ระหว่างนี้ชิป Moorestown ซึ่งน่าจะใกล้วางตลาดเร็วๆ นี้ ทางอินเทลก็เล็งที่จะบุกตลาดโทรศัพท์มือถือเช่นกัน แต่ยังคงจำกัดอยู่ในในตลาดระดับสูงราคาแพงเท่านั้น
สรุป เทคโนโลยีในยุคสมัยนี้มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ดังนั้นในโลกของการสื่อสารไร้พรมแดนจึงมีเทคโนโลยีใหม่ๆเข้ามาให้เราได้เห็นมากขึ้นในปัจจุบันอย่างเช่นโทรศัพท์มือถือ รุ่รx86ที่มี่แนวว่าจะเข้ามาในปี2011โดยมือถือรุ่นนี้มีความพิเศษตรงที่มีอุปกรณ์ขนาดเล็กอยู่ในตัวเครื่อง
อ้างอิงhttp://te.psu.ac.th/index.php?option=com_fireboard&Itemid=85&func=view&id=171&catid=31
คาดว่าplaystation3สามรถครองตลาดเกมได้ในปี2011
เป็นเวลาปีกว่าแล้วที่ตลาดโลกรู้จักเครื่องเล่นวีดีโอเกมส์ที่โซนี่เป็นผู้ผลิตในนาม PlayStation 3 โดยมีการแข่งขันชิงชัยกันในตลาดระหว่าง PS3 ของโซนี่, Wii ของนินเทนโด้ และ Xbox 360 ของไมโครซอฟท์เรื่อยมา แต่คาดว่าภายในอีก 3 ปีข้างหน้านี้ PlayStation 3 จะขึ้นครองส่วนแบ่งอันดับ 1ในตลาด
โดยจากผลการสำรวจตลาดของ iSuppli ทำให้เชื่อว่า ภายในอีก 3 ปีข้างหน้านี้ คือ ในปี 2011 PlayStation 3 จะขึ้นนำคู่แข่งอย่าง Wii และ Xbox 360 ซึ่งตั้งแต่ที่ PS3 เริ่มออกวางจำหน่ายในเดือนพฤศจิกายน ปี 2006 Wii ก็ประสบความสำเร็จในการเป็นผู้นำมาโดยตลอด ตามมาด้วย Xbox 360 และ PS3 ที่ติดอยู่ในอันดับรั้งท้าย แต่เนื่องจาก Xbox 360 เริ่มออกวางจำหน่ายก่อน Wii และ PS3 เกือบหนึ่งปีเต็มๆ จึงทำให้ยอดรวมของ Xbox 360 ขึ้นนำเป็นอันดับที่หนึ่ง แต่ปัจจุบันนี้ Wii กำลังก้าวขึ้นเป็นผู้นำทั้งหมด ซึ่งจากผลการสำรวจตลาดโลกของ iSuppli ทำให้ทำนายได้ว่า เมื่อสิ้นปี 2008 Wii จะสามารถจำหน่ายได้รวม 30.2 ล้านเครื่อง ในขณะที่ Xbox 360 จะจำหน่ายได้รวม 25.7 ล้านเครื่อง แต่มีเรื่องที่น่าสนใจอยู่อย่างหนึ่ง คือ ภายในปี 2011 หรืออีก 3 ปีข้างหน้า iSuppli ได้ทำนายไว้ว่า PS3 จะขึ้นครองความเป็นผู้นำ โดยจะมียอดจำหน่ายรวม 38.4 ล้านเครื่อง ในขณะที่ Wii จะมียอดจำหน่ายรวม 37.7 ล้านเครื่อง ซึ่งนี่ถือเป็นเพียงแค่คำทำนายเท่านั้น เพราะเนื่องจากโลกแห่งเทคโนโลยีสามารถมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
สรุป อุปกรณ์ playstationเป็นอุปกรณ์เล่นเกมชนิดหนึ่งที่มีความนิยมและแพร่หลายใยการเล่นเกม และมีแนวโน้มว่าในปี2011จะนำออกมาใช้กันแพร่หลายในตลาดเกม และจะขึ้นแซงหน้า wiiและxbox360ได้ในไม่ช้านี้
อ้างอิงwww.oknation.net
เป็นเวลาปีกว่าแล้วที่ตลาดโลกรู้จักเครื่องเล่นวีดีโอเกมส์ที่โซนี่เป็นผู้ผลิตในนาม PlayStation 3 โดยมีการแข่งขันชิงชัยกันในตลาดระหว่าง PS3 ของโซนี่, Wii ของนินเทนโด้ และ Xbox 360 ของไมโครซอฟท์เรื่อยมา แต่คาดว่าภายในอีก 3 ปีข้างหน้านี้ PlayStation 3 จะขึ้นครองส่วนแบ่งอันดับ 1ในตลาด
โดยจากผลการสำรวจตลาดของ iSuppli ทำให้เชื่อว่า ภายในอีก 3 ปีข้างหน้านี้ คือ ในปี 2011 PlayStation 3 จะขึ้นนำคู่แข่งอย่าง Wii และ Xbox 360 ซึ่งตั้งแต่ที่ PS3 เริ่มออกวางจำหน่ายในเดือนพฤศจิกายน ปี 2006 Wii ก็ประสบความสำเร็จในการเป็นผู้นำมาโดยตลอด ตามมาด้วย Xbox 360 และ PS3 ที่ติดอยู่ในอันดับรั้งท้าย แต่เนื่องจาก Xbox 360 เริ่มออกวางจำหน่ายก่อน Wii และ PS3 เกือบหนึ่งปีเต็มๆ จึงทำให้ยอดรวมของ Xbox 360 ขึ้นนำเป็นอันดับที่หนึ่ง แต่ปัจจุบันนี้ Wii กำลังก้าวขึ้นเป็นผู้นำทั้งหมด ซึ่งจากผลการสำรวจตลาดโลกของ iSuppli ทำให้ทำนายได้ว่า เมื่อสิ้นปี 2008 Wii จะสามารถจำหน่ายได้รวม 30.2 ล้านเครื่อง ในขณะที่ Xbox 360 จะจำหน่ายได้รวม 25.7 ล้านเครื่อง แต่มีเรื่องที่น่าสนใจอยู่อย่างหนึ่ง คือ ภายในปี 2011 หรืออีก 3 ปีข้างหน้า iSuppli ได้ทำนายไว้ว่า PS3 จะขึ้นครองความเป็นผู้นำ โดยจะมียอดจำหน่ายรวม 38.4 ล้านเครื่อง ในขณะที่ Wii จะมียอดจำหน่ายรวม 37.7 ล้านเครื่อง ซึ่งนี่ถือเป็นเพียงแค่คำทำนายเท่านั้น เพราะเนื่องจากโลกแห่งเทคโนโลยีสามารถมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
สรุป อุปกรณ์ playstationเป็นอุปกรณ์เล่นเกมชนิดหนึ่งที่มีความนิยมและแพร่หลายใยการเล่นเกม และมีแนวโน้มว่าในปี2011จะนำออกมาใช้กันแพร่หลายในตลาดเกม และจะขึ้นแซงหน้า wiiและxbox360ได้ในไม่ช้านี้
อ้างอิงwww.oknation.net
วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสมัยใหม่
นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1700 เป็นต้นมา ได้เข้าสู่ยุควิทยาศาสตร์สมัยใหม่ มีการค้นพบทฤษฎีการสันดาปโดยลาวัวซิเอ ความก้าวหน้าด้านเคมีสาขาต่าง ๆ ได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว พร้อม ๆ กับความก้าวหน้าด้านฟิสิกส์และกลศาสตร์ ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาด้านอุตสาหกรรมและมีการพัฒนาของวิทยาศาสตร์ทุกสาขาเพื่อสนองความต้องการของมนุษย์ในการที่จะครองโลกวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีจนถึงปัจจุบันนี้
1. วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสมัยปฏิวัติอุตสาหกรรม
การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในวงการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเกิดขึ้นในสมัยปฏิวัติอุตสาหกรรมเมื่อ คริสตศตวรรษที่ 18 จากความก้าวหน้าทางวิทยาการในแขนงต่าง ๆ ทางวิทยาศาสตร์ในช่วง คริสตศตวรรษที่ 18 ซึ่งได้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงความเชื่อถือ แนวความคิดปรัชญาวิทยาศาสตร์โบราณมาเชื่อถือปรัชญาวิทยาศาสตร์แนวใหม่ และได้นำวิธีการวิทยาศาสตร์มาใช้ทำให้ประสบผลสำเร็จเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว และใช้รูปแบบทางคณิตศาสตร์มาจำลองศีกษาธรรมชาติ ทำให้เกิดการค้นพบ และการตั้งทฤษฎีใหม่ ๆ มากมาย นักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ที่ประสาทความรู้ให้กับวงการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในสมัยนี้ได้แก่
- เบนจามิน แฟรงคลิน (Benjamin Franklin ค.ศ. 1706-1790) ค้นพบว่าไฟฟ้าเป็นของไหล ซึ่งเป็นรากฐานทำให้ค้นพบอิเล็กตรอนในเวลาต่อมา เขาค้นพบไฟฟ้าในอากาศ ทำให้เกิดฟ้าแลบและฟ้าผ่า และแนะนำวิธีการป้องกันฟ้าผ่า โดยการประดิษฐ์สายล่อฟ้าขึ้น นอกจากนี้ยังได้เสนอแนะว่าอาการเกิดสารพิษจากตะกั่ว มักจะเกิดกับบุคคลที่ทำงานในโรงพิมพ์
- เจมส์ วัตต์ (James Watt ค.ศ. 1736-1819) เป็นผู้ปรับปรุงเครื่องจักรไอน้ำของนิวโคเมน และประดิษฐ์เครื่องจักรไอน้ำแบบใหม่ โดยแก้ไขจุดบกพร่องจากแบบของนิวโคเมน และได้พัฒนาเครื่องจักรไอน้ำที่ทำงานระบบ "ดับเบิลแอกชัน" ทำให้ลูกล้อหมุนไปได้ซึ่งเป็นแนวทางในการประดิษฐ์รถยนต์และรถไฟในเวลาต่อมา และเป็นผู้กำหนดกำลังเครื่องจักเป็น "แรงม้า"
ปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรม บรรยากาศทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคม ที่เอื้ออำนวยให้มีการประดิษฐ์คิดค้น ซึ่งเริ่มต้นขึ้นในอังกฤษโดยรัฐเป็นผู้สนับสนุนในทุกวิถีทางที่จะทำให้เกิดสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ ซึ่งเชื่อกันว่า จะทำให้ชาติเป็นมหาอำนาจในทางเศรษฐกิจและการเมืองได้โดยการให้ผลประโยชน์แก่ผู้ประดิษฐ์คิดค้น และหลักประกันสิ่งประดิษฐ์ ดำเนินการจัดหาแหล่งทรัพยากรและตลาดการค้า ตลอดไปจนถึงการสนับสนุนการลงทุน รวมทั้งเผยแพร่ความคิดเห็นในทางอุตสาหกรรมทำให้มีการตื่นตัวขึ้นในสังคม และแผ่ขยายอิทธิพลความคิดไปสู่นานาประเทศ ดังนั้นกระบวนการผลิตสินค้าเพื่อสนองความต้องการของพลเมือง ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจึงเปลี่ยนจากการทำในครัวเรือนไปเป็นโรงงานขนาดใหญ่ที่มีการทำงานโดยใช้ระบบแบ่งแรงงานให้แต่ละคนทำงานเฉพาะส่วน มีการศึกษาวิจัยระบบงานให้สัมพันธ์กับเวลา และใช้เครื่องมือเครื่องจักรที่ทันสมัยในกระบวนการประกอบการอุตสาหกรรม ซึ่งทำให้อุตสาหกรรมด้านต่าง ๆเจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็ก่อให้เกิดปัญหาสังคมติดตามมาด้วย ผลที่เห็นได้ชัดเจน คือ คนอพยพเข้ามารวมกันทำงานในเมืองอุตสาหกรรมเกิดความแออัด ชนชั้นกรรมกรถูกกดขี่ และทารุณจนเกิดการต่อสู่ระหว่างชนชั้นขึ้น ส่วนนายทุนเริ่มมีอำนาจก็แสวงหาอาณานิคมเพิ่มขึ้นเพื่อเป็นแหล่งทรัพยากร หรือเป็นตลาด ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ประสบผลสำเร็จได้เปลี่ยนแปลงความเชื่อเก่า ๆ เกี่ยวกับแนวความคิดโบราณโดยสิ้นเชิง
2 วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสมัยสงครามโลก
ในประวัติศาสตร์เกือบจะไม่มีช่วงเวลาใดเลยที่โลกปลอดจากสงคราม สงครามจัดได้ว่าเป็นกิจกรรมร่วมของมนุษยชาติอย่างหนึ่งซึ่งมักใช้เป็นทางออกเมื่อเกิดข้อขัดแย้งหรือข้อพิพาท โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับผลประโยชน์ ความสามารถในการประหัตประหาร ชาติพันธุ์เดียวกันของมนุษย์เหนือกว่าสัตว์ทั้งปวง อาจเป็นเพราะว่า ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในบางช่วงเวลาของประวัติศาสตร์เป็นไปอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้เพราะมนุษย์ได้ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างทั้งสติปัญญาและทรัพยากรเพื่อพัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์ ตลอดจนกลวิธีทำลายข้าศึก ตัวอย่างเช่น เห็นได้จากวิวัฒนาการของเครื่องบินรบ ทั้งในแง่ของความเร็วและสมรรถนะ ในมหาสงครามโลกทั้งสองครั้ง ประเทศมหาอำนาจได้ผนึกกำลังนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำเข้ามาทำงานด้วยกันเป็นกลุ่มใหญ่เพื่อพัฒนาและประยุกต์วิธีการประหัตประหารแบบใหม่ ๆ ในมหาสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง นั้น จัดได้ว่าเป็นสงครามเคมี เพราะมีการทำลายล้างด้วยระเบิดชนิดต่าง ๆ และแก๊ส ส่วนมหาสงครามโลกครั้งที่สอง ก็ยุติลงด้วยระเบิดปรมาณูที่ทำลายล้างชีวิตมนุษย์นับแสนคนลงในชั่วพริบตา ผลจากสงครามทำให้เกิดการกระตุ้นเตือนนักวิทยาศาสตร์และนักประดิษฐ์คิดค้นให้เพิ่มความรับผิดชอบและระมัดระวังในผลงานของตนยิ่งขึ้น บุคคลหลายกลุ่มได้ผนึกตัวขึ้นต่อต้านการทำสงครามด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีการเรียกร้องให้ลดกำลังอาวุธ ถึงกระนั้นก็ตามประเทศมหาอำนาจก็ยังเร่งระดมสร้างอาวุธร้ายแรงขึ้นทุกที เช่น ระเบิดไฮโดรเจน ระเบิดนิวตรอน สารพิษ และเชื้อโรค เป็นต้น ซึ่งสงครามครั้งต่อ ๆ ไป อาจหมายถึงอวสานของมนุษย์ก็เป็นได้ นักวิทยาศาสตร์ที่สำคัญในสมัยนี้ ได้แก่
- อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein ค.ศ. 1879-1955) เป็นนักฟิสิกส์คณิตศาสตร์ ซึ่งเป็นผู้ค้นพบทฤษฎีสัมพันธภาพอันนำไปสู่การสร้างระเบิดปรมณู และคิดค้นทฤษฎีใหม่ ซึ่งนำไปสู่การสำรวจอวกาศ
3. วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหลังการปฏิวัติทางอุตสาหกรรม
ช่วงนี้เป็นช่วงต่อจากสมัยการปฏิวัติทางอุตสาหกรรมและอาจกล่าวได้ว่า มีผลงานทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมากมายเกิดขึ้น ส่งผลให้ชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษยสุขสบายความเป็นอยู่ดีขึ้นและปลอดภัยจากโลกภัยไข้เจ็บ นักวิทยาศาสตร์สมัยนี้ได้แก่
- ลาวัวซิเอ (Antoine Laurent Lavoisier ค.ศ. 1743-1794) เป็นผู้สนใจทางด้านเคมี ได้ตั้งทฤษฎีการสันดาป เขาได้ตั้งชื่อก๊าซที่ทำให้ลุกไหม้ว่า "ก๊าซออกซิเจน" และตั้งกฎทรงแห่งมวลสาร ซึ่งมีใจความว่า "มวลของสารก่อนทำปฏิกริยาย่อมเท่ากับมวลของสารหลังการทำ ปฏิกริยา"
- วอลตา (Alessandro A. Volta ค.ศ. 1744-1827) ได้ทดลองใช้แผ่นสังกะสีและทองแดงตัดให้กลมคล้ายเหรียญบาทประกบสลับกัน แล้วนำปลายข้างหนึ่งจุ่มลงในอ่างน้ำที่มีเกลือและชิ้นส่วนของหนังสัตว์ปนอยู่ด้วย ปรากฎว่าเกิดกระแสไฟฟ้าขึ้น เขาเรียกเครื่องมือนี้ว่า "โวลทาอิกไฟล์" และเมื่อเชื่อมโวลทาอิกไฟล์หลายอันเข้าด้วยกันพบว่าเกิดประแสมากขึ้นซึ่งเป็นหลักของแบตเตอรี่ในปัจจุบัน
- ลามาร์ก (Jean Baptise - Chevalier de Lamark ค.ศ.1744-1829) เขาได้สนใจเรื่องความแตกต่างและความเหมือนกันของสิ่งมีชีวิต จึงได้จัดแบ่งสัตว์เป็นหมวดหมู่และได้ตั้งกฎการใช้และไม่ใช้ ที่อธิบายว่าลักษณะด้อยจะถ่ายทอดจากบรรพบุรุษไปยังลูกหลาน และลักษณะที่ไม่จำเป็นจะค่อย ๆ เสื่อมสลายไป
- เอ็ดมันด์ ฮัลลีย์ (Edmund Halley ค.ศ. 1656 - 1742 เป็นนักดาราศาสตร์ชาวอังกฤษศึกษาค้นคว้าหาตำแหน่งดาวฤกษ์ต่าง ๆ เขาได้บันทึกการเคลื่อนที่ของดาวหางดาวหนึ่งและได้พยากรณ์ว่าดาวหางดวงนั้นจะปรากฎให้เห็นในทุก 76 ปี และก็เป็นดังที่เขาทำนาย เพื่อเป็นเกียรติแก่เขาดาวหางดวงนั้นจึงชื่อว่า "ดาวหางฮัลลีย์"
- เอ็ดวาร์ด เจนเนอร์ ( Edward Jenner ค.ศ. 1749 - 1823) เป็นผู้ค้นพบวิธีลูกผีเพื่อป้องกันไข้ทรพิษ
- เซอร์ ฮัมฟรีย์ เดวี (Sir Humphry Davy ค.ศ. 1778 -1829) ได้ค้นพบก๊าซไนตรัสออกไซด์ ซึ่งสามารถนำไปใช้เป็นยาสลบได้
- แอมแปร์ (Andre- Marie Ampere ค.ศ. 1774 - 1836) เป็นผู้ค้นพบกระแสไฟฟ้าสลับ ซึ่งต่อมานักวิทยาศาสตร์ได้ตั้งชื่อหน่วยวัดกระแสไฟฟ้าว่า "แอมแปร์"เพื่อเป็นเกียรติแก่เขา
- ไมเคิล ฟาราเดย์ (Michael Faraday ค.ศ. 1791- 1867) เป็นผู้ค้นพบสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งต่อมาพัฒนาเป็นเครื่องกำเนิดไฟฟ้า พบหลักการของหม้อแปลง พบกฎการแยกสลายด้วยไฟฟ้าซึ่งยังใช้กันในปัจจุบัน
- โทมัส แอลวา เอดิสัน (Thomas Alva Edisson ค.ศ. 1847 - 1931) เป็นนักประดิษฐ์ที่สำคัญคนหนึ่งของโลกได้ประดิษฐ์เครื่องบันทึกเสียงเครื่องแรกของโลก หลอดไฟฟ้าเครื่องฉายภาพยนต์ มีสิ่งประดิษฐ์ที่จดลิขสิทธิ์ 1,328 ชิ้น และที่ไม่ได้จดลิขสิทธิ์อีกมากมาย
- ชาลส์ โรเบิร์ต ดาร์วิน (Charles Robert Dawin ค.ศ. 1809 - 1882) เป็นผู้ค้นพบทฤษฎีวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต
- เกรกอร์ โยฮันน์ เมนเดล (Gregoe Johann Mendel ค.ศ. 1822-1884) เขาได้ศึกษาทดลองเกี่ยวกับการผสมพันธุ์พืช และได้สรุปเป็นกฎเรียกว่า "กฎทางพันธุ์กรรมของเมนเดล" และได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งพันธุ์กรรม
- ลูเธอร์ เบอร์แบงค์ (Luther Burbank ค.ศ. 1849-1926) เขาได้ทดลองผสมพันธุ์ไม้ดอกและไม้ผล และทดลองผสมข้ามพันธุ์และเลือกพันธุ์ที่ดีที่สุดไว้ จนได้พันธุ์ใหม่ที่มีคุณภาพดีมากมายเขาได้สมญานามว่า "ผู้วิเศษแห่งต้นไม้"
- หลุยส์ ปาสเตอร์ (Louis Pasteur ค.ศ. 1822 - 1895) เป็นผู้ค้นพบจุลินทรีย์ และวางรากฐานทฤษฎีแบคทีเรีย ใช้วิธีการพาสเจอร์ไรเซชั่น (Pasteurization) ในการกำจัดแบคทีเรียในอาหาร โดยการทำให้อาหารอุ่น แล้วทำให้เย็นลงโดยเร็ว และยังค้นพบวิธีการทำเซรุ่มแก้พิษสนัขบ้า และผลิตวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า
- ลอร์ด โจเซฟ ลิสเตอร์ (Lord Joseph Lister ค.ศ. 1827 - 1912) เป็นศัลยแพทย์ชาวอังกฤษ เขาคิดว่าการเกิดหนองหลังจากการผ่าตัด อาจจะเกิดจากเชื้อโรคในอากาศ ดังนั้นจึงต้องหาวิธีกำจัดเสียก่อน เขาทดลองใช้กรดคาร์บอลิกเจือจาง ทำความสะอาดบริเวณที่จะทำการผ่าตัด และทำความสะอาดเครื่องมือ ใช้ผ้าเช็ดมือที่สะอาดขณะที่มีการผ่าตัด และได้ทดลองผ่าตัดคนไข้คนหนึ่ง ปรากฎว่าไม่มีหนอง และการอักเสบเกิดขึ้นอีกเลย
4. วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสมัยปัจจุบัน
การศึกษาและการประดิษฐ์คิดค้นทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งครั้งหนึ่งในสมัยประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา เป็นเพียงกิจกรรมส่วนหนึ่งของนักปราชญ์กลุ่มย่อยๆ ในสังคม ได้เปลี่ยนแปลงกลายมาเป็นอาชีพที่หลายคนให้ความเชื่อถือ และใฝ่ฝันที่จะได้เข้าไปมีบทบาทร่วมดำเนินการ ฐานะ และภาพพจน์ของสังคมที่มีต่ออาชีพการวิจัยและการประดิษฐ์คิดค้น ไม่ว่าจะเป็นของนักวิทยาศาสตร์ วิศวกร หรือ นักเทคโนโลยี ไม่เป็นรองอาชีพใด ๆ ประเทศมหาอำนาจต่าง ๆ ได้กำหนดนโยบายสนับสนุนงานค้นคว้าวิจัยเป็นอย่างมาก จึงเกิดสถาบันค้นคว้าวิจัยที่มีผู้ทำงานเป็นกลุ่มซึ่งแต่ละคนจะฝึกฝนมาเป็นผู้ชำนาญเฉพาะด้านเฉพาะแขนง งบประมาณสำหรับการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนั้น ได้จากงบประมาณแผ่นดิน แหล่งเงินทุน มูลนิธิ และบริษัทอุตสาหกรรมต่าง ๆ ซึ่งให้ในรูปเงินทุนวิจัยแก่มหาวิทยาลัย หรือจัดตั้งห้องปฏิบัติการของตนเองแล้วจ้างนักวิทยาศาสตร์หรือวิศวกรเข้าไปทำงานวิจัย การคิดค้นทฤษฎีและวิธีการประยุกต์จึงเป็นไปอย่างกว้างขวางต่อเนื่องและรวดเร็ว ผลงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่พิมพ์เผยแพร่กันในปัจจุบันและสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ มีมากมายจนไม่สามารถที่จะรวบรวมไว้ ณ ที่หนึ่งที่ใดได้หมดสิ้น เนื้อหาความรู้ในแต่ละแขนงวิชาก็มีความลึกซึ้ง และเริ่มขยายขอบเขตไปคาบเกี่ยวกับคน ในบางครั้งไม่อาจจะแยกลงไปอย่างชัดเจนว่าจัดอยู่ในสาขาใดแน่ ตัวอย่างเช่น วิชาชีวเคมี วิชาชีวฟิสิกส์ และวิศวกรรมการแพทย์ เป็นต้น (เติมศักดิ์ เศรษฐวัชราวนิช. 2540 :4-10)
http://www.rmutphysics.com/CHARUD/specialnews/6/science/unit4_12.html
นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1700 เป็นต้นมา ได้เข้าสู่ยุควิทยาศาสตร์สมัยใหม่ มีการค้นพบทฤษฎีการสันดาปโดยลาวัวซิเอ ความก้าวหน้าด้านเคมีสาขาต่าง ๆ ได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว พร้อม ๆ กับความก้าวหน้าด้านฟิสิกส์และกลศาสตร์ ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาด้านอุตสาหกรรมและมีการพัฒนาของวิทยาศาสตร์ทุกสาขาเพื่อสนองความต้องการของมนุษย์ในการที่จะครองโลกวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีจนถึงปัจจุบันนี้
1. วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสมัยปฏิวัติอุตสาหกรรม
การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในวงการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเกิดขึ้นในสมัยปฏิวัติอุตสาหกรรมเมื่อ คริสตศตวรรษที่ 18 จากความก้าวหน้าทางวิทยาการในแขนงต่าง ๆ ทางวิทยาศาสตร์ในช่วง คริสตศตวรรษที่ 18 ซึ่งได้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงความเชื่อถือ แนวความคิดปรัชญาวิทยาศาสตร์โบราณมาเชื่อถือปรัชญาวิทยาศาสตร์แนวใหม่ และได้นำวิธีการวิทยาศาสตร์มาใช้ทำให้ประสบผลสำเร็จเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว และใช้รูปแบบทางคณิตศาสตร์มาจำลองศีกษาธรรมชาติ ทำให้เกิดการค้นพบ และการตั้งทฤษฎีใหม่ ๆ มากมาย นักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ที่ประสาทความรู้ให้กับวงการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในสมัยนี้ได้แก่
- เบนจามิน แฟรงคลิน (Benjamin Franklin ค.ศ. 1706-1790) ค้นพบว่าไฟฟ้าเป็นของไหล ซึ่งเป็นรากฐานทำให้ค้นพบอิเล็กตรอนในเวลาต่อมา เขาค้นพบไฟฟ้าในอากาศ ทำให้เกิดฟ้าแลบและฟ้าผ่า และแนะนำวิธีการป้องกันฟ้าผ่า โดยการประดิษฐ์สายล่อฟ้าขึ้น นอกจากนี้ยังได้เสนอแนะว่าอาการเกิดสารพิษจากตะกั่ว มักจะเกิดกับบุคคลที่ทำงานในโรงพิมพ์
- เจมส์ วัตต์ (James Watt ค.ศ. 1736-1819) เป็นผู้ปรับปรุงเครื่องจักรไอน้ำของนิวโคเมน และประดิษฐ์เครื่องจักรไอน้ำแบบใหม่ โดยแก้ไขจุดบกพร่องจากแบบของนิวโคเมน และได้พัฒนาเครื่องจักรไอน้ำที่ทำงานระบบ "ดับเบิลแอกชัน" ทำให้ลูกล้อหมุนไปได้ซึ่งเป็นแนวทางในการประดิษฐ์รถยนต์และรถไฟในเวลาต่อมา และเป็นผู้กำหนดกำลังเครื่องจักเป็น "แรงม้า"
ปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรม บรรยากาศทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคม ที่เอื้ออำนวยให้มีการประดิษฐ์คิดค้น ซึ่งเริ่มต้นขึ้นในอังกฤษโดยรัฐเป็นผู้สนับสนุนในทุกวิถีทางที่จะทำให้เกิดสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ ซึ่งเชื่อกันว่า จะทำให้ชาติเป็นมหาอำนาจในทางเศรษฐกิจและการเมืองได้โดยการให้ผลประโยชน์แก่ผู้ประดิษฐ์คิดค้น และหลักประกันสิ่งประดิษฐ์ ดำเนินการจัดหาแหล่งทรัพยากรและตลาดการค้า ตลอดไปจนถึงการสนับสนุนการลงทุน รวมทั้งเผยแพร่ความคิดเห็นในทางอุตสาหกรรมทำให้มีการตื่นตัวขึ้นในสังคม และแผ่ขยายอิทธิพลความคิดไปสู่นานาประเทศ ดังนั้นกระบวนการผลิตสินค้าเพื่อสนองความต้องการของพลเมือง ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจึงเปลี่ยนจากการทำในครัวเรือนไปเป็นโรงงานขนาดใหญ่ที่มีการทำงานโดยใช้ระบบแบ่งแรงงานให้แต่ละคนทำงานเฉพาะส่วน มีการศึกษาวิจัยระบบงานให้สัมพันธ์กับเวลา และใช้เครื่องมือเครื่องจักรที่ทันสมัยในกระบวนการประกอบการอุตสาหกรรม ซึ่งทำให้อุตสาหกรรมด้านต่าง ๆเจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็ก่อให้เกิดปัญหาสังคมติดตามมาด้วย ผลที่เห็นได้ชัดเจน คือ คนอพยพเข้ามารวมกันทำงานในเมืองอุตสาหกรรมเกิดความแออัด ชนชั้นกรรมกรถูกกดขี่ และทารุณจนเกิดการต่อสู่ระหว่างชนชั้นขึ้น ส่วนนายทุนเริ่มมีอำนาจก็แสวงหาอาณานิคมเพิ่มขึ้นเพื่อเป็นแหล่งทรัพยากร หรือเป็นตลาด ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ประสบผลสำเร็จได้เปลี่ยนแปลงความเชื่อเก่า ๆ เกี่ยวกับแนวความคิดโบราณโดยสิ้นเชิง
2 วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสมัยสงครามโลก
ในประวัติศาสตร์เกือบจะไม่มีช่วงเวลาใดเลยที่โลกปลอดจากสงคราม สงครามจัดได้ว่าเป็นกิจกรรมร่วมของมนุษยชาติอย่างหนึ่งซึ่งมักใช้เป็นทางออกเมื่อเกิดข้อขัดแย้งหรือข้อพิพาท โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับผลประโยชน์ ความสามารถในการประหัตประหาร ชาติพันธุ์เดียวกันของมนุษย์เหนือกว่าสัตว์ทั้งปวง อาจเป็นเพราะว่า ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในบางช่วงเวลาของประวัติศาสตร์เป็นไปอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้เพราะมนุษย์ได้ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างทั้งสติปัญญาและทรัพยากรเพื่อพัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์ ตลอดจนกลวิธีทำลายข้าศึก ตัวอย่างเช่น เห็นได้จากวิวัฒนาการของเครื่องบินรบ ทั้งในแง่ของความเร็วและสมรรถนะ ในมหาสงครามโลกทั้งสองครั้ง ประเทศมหาอำนาจได้ผนึกกำลังนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำเข้ามาทำงานด้วยกันเป็นกลุ่มใหญ่เพื่อพัฒนาและประยุกต์วิธีการประหัตประหารแบบใหม่ ๆ ในมหาสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง นั้น จัดได้ว่าเป็นสงครามเคมี เพราะมีการทำลายล้างด้วยระเบิดชนิดต่าง ๆ และแก๊ส ส่วนมหาสงครามโลกครั้งที่สอง ก็ยุติลงด้วยระเบิดปรมาณูที่ทำลายล้างชีวิตมนุษย์นับแสนคนลงในชั่วพริบตา ผลจากสงครามทำให้เกิดการกระตุ้นเตือนนักวิทยาศาสตร์และนักประดิษฐ์คิดค้นให้เพิ่มความรับผิดชอบและระมัดระวังในผลงานของตนยิ่งขึ้น บุคคลหลายกลุ่มได้ผนึกตัวขึ้นต่อต้านการทำสงครามด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีการเรียกร้องให้ลดกำลังอาวุธ ถึงกระนั้นก็ตามประเทศมหาอำนาจก็ยังเร่งระดมสร้างอาวุธร้ายแรงขึ้นทุกที เช่น ระเบิดไฮโดรเจน ระเบิดนิวตรอน สารพิษ และเชื้อโรค เป็นต้น ซึ่งสงครามครั้งต่อ ๆ ไป อาจหมายถึงอวสานของมนุษย์ก็เป็นได้ นักวิทยาศาสตร์ที่สำคัญในสมัยนี้ ได้แก่
- อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein ค.ศ. 1879-1955) เป็นนักฟิสิกส์คณิตศาสตร์ ซึ่งเป็นผู้ค้นพบทฤษฎีสัมพันธภาพอันนำไปสู่การสร้างระเบิดปรมณู และคิดค้นทฤษฎีใหม่ ซึ่งนำไปสู่การสำรวจอวกาศ
3. วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหลังการปฏิวัติทางอุตสาหกรรม
ช่วงนี้เป็นช่วงต่อจากสมัยการปฏิวัติทางอุตสาหกรรมและอาจกล่าวได้ว่า มีผลงานทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมากมายเกิดขึ้น ส่งผลให้ชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษยสุขสบายความเป็นอยู่ดีขึ้นและปลอดภัยจากโลกภัยไข้เจ็บ นักวิทยาศาสตร์สมัยนี้ได้แก่
- ลาวัวซิเอ (Antoine Laurent Lavoisier ค.ศ. 1743-1794) เป็นผู้สนใจทางด้านเคมี ได้ตั้งทฤษฎีการสันดาป เขาได้ตั้งชื่อก๊าซที่ทำให้ลุกไหม้ว่า "ก๊าซออกซิเจน" และตั้งกฎทรงแห่งมวลสาร ซึ่งมีใจความว่า "มวลของสารก่อนทำปฏิกริยาย่อมเท่ากับมวลของสารหลังการทำ ปฏิกริยา"
- วอลตา (Alessandro A. Volta ค.ศ. 1744-1827) ได้ทดลองใช้แผ่นสังกะสีและทองแดงตัดให้กลมคล้ายเหรียญบาทประกบสลับกัน แล้วนำปลายข้างหนึ่งจุ่มลงในอ่างน้ำที่มีเกลือและชิ้นส่วนของหนังสัตว์ปนอยู่ด้วย ปรากฎว่าเกิดกระแสไฟฟ้าขึ้น เขาเรียกเครื่องมือนี้ว่า "โวลทาอิกไฟล์" และเมื่อเชื่อมโวลทาอิกไฟล์หลายอันเข้าด้วยกันพบว่าเกิดประแสมากขึ้นซึ่งเป็นหลักของแบตเตอรี่ในปัจจุบัน
- ลามาร์ก (Jean Baptise - Chevalier de Lamark ค.ศ.1744-1829) เขาได้สนใจเรื่องความแตกต่างและความเหมือนกันของสิ่งมีชีวิต จึงได้จัดแบ่งสัตว์เป็นหมวดหมู่และได้ตั้งกฎการใช้และไม่ใช้ ที่อธิบายว่าลักษณะด้อยจะถ่ายทอดจากบรรพบุรุษไปยังลูกหลาน และลักษณะที่ไม่จำเป็นจะค่อย ๆ เสื่อมสลายไป
- เอ็ดมันด์ ฮัลลีย์ (Edmund Halley ค.ศ. 1656 - 1742 เป็นนักดาราศาสตร์ชาวอังกฤษศึกษาค้นคว้าหาตำแหน่งดาวฤกษ์ต่าง ๆ เขาได้บันทึกการเคลื่อนที่ของดาวหางดาวหนึ่งและได้พยากรณ์ว่าดาวหางดวงนั้นจะปรากฎให้เห็นในทุก 76 ปี และก็เป็นดังที่เขาทำนาย เพื่อเป็นเกียรติแก่เขาดาวหางดวงนั้นจึงชื่อว่า "ดาวหางฮัลลีย์"
- เอ็ดวาร์ด เจนเนอร์ ( Edward Jenner ค.ศ. 1749 - 1823) เป็นผู้ค้นพบวิธีลูกผีเพื่อป้องกันไข้ทรพิษ
- เซอร์ ฮัมฟรีย์ เดวี (Sir Humphry Davy ค.ศ. 1778 -1829) ได้ค้นพบก๊าซไนตรัสออกไซด์ ซึ่งสามารถนำไปใช้เป็นยาสลบได้
- แอมแปร์ (Andre- Marie Ampere ค.ศ. 1774 - 1836) เป็นผู้ค้นพบกระแสไฟฟ้าสลับ ซึ่งต่อมานักวิทยาศาสตร์ได้ตั้งชื่อหน่วยวัดกระแสไฟฟ้าว่า "แอมแปร์"เพื่อเป็นเกียรติแก่เขา
- ไมเคิล ฟาราเดย์ (Michael Faraday ค.ศ. 1791- 1867) เป็นผู้ค้นพบสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งต่อมาพัฒนาเป็นเครื่องกำเนิดไฟฟ้า พบหลักการของหม้อแปลง พบกฎการแยกสลายด้วยไฟฟ้าซึ่งยังใช้กันในปัจจุบัน
- โทมัส แอลวา เอดิสัน (Thomas Alva Edisson ค.ศ. 1847 - 1931) เป็นนักประดิษฐ์ที่สำคัญคนหนึ่งของโลกได้ประดิษฐ์เครื่องบันทึกเสียงเครื่องแรกของโลก หลอดไฟฟ้าเครื่องฉายภาพยนต์ มีสิ่งประดิษฐ์ที่จดลิขสิทธิ์ 1,328 ชิ้น และที่ไม่ได้จดลิขสิทธิ์อีกมากมาย
- ชาลส์ โรเบิร์ต ดาร์วิน (Charles Robert Dawin ค.ศ. 1809 - 1882) เป็นผู้ค้นพบทฤษฎีวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต
- เกรกอร์ โยฮันน์ เมนเดล (Gregoe Johann Mendel ค.ศ. 1822-1884) เขาได้ศึกษาทดลองเกี่ยวกับการผสมพันธุ์พืช และได้สรุปเป็นกฎเรียกว่า "กฎทางพันธุ์กรรมของเมนเดล" และได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งพันธุ์กรรม
- ลูเธอร์ เบอร์แบงค์ (Luther Burbank ค.ศ. 1849-1926) เขาได้ทดลองผสมพันธุ์ไม้ดอกและไม้ผล และทดลองผสมข้ามพันธุ์และเลือกพันธุ์ที่ดีที่สุดไว้ จนได้พันธุ์ใหม่ที่มีคุณภาพดีมากมายเขาได้สมญานามว่า "ผู้วิเศษแห่งต้นไม้"
- หลุยส์ ปาสเตอร์ (Louis Pasteur ค.ศ. 1822 - 1895) เป็นผู้ค้นพบจุลินทรีย์ และวางรากฐานทฤษฎีแบคทีเรีย ใช้วิธีการพาสเจอร์ไรเซชั่น (Pasteurization) ในการกำจัดแบคทีเรียในอาหาร โดยการทำให้อาหารอุ่น แล้วทำให้เย็นลงโดยเร็ว และยังค้นพบวิธีการทำเซรุ่มแก้พิษสนัขบ้า และผลิตวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า
- ลอร์ด โจเซฟ ลิสเตอร์ (Lord Joseph Lister ค.ศ. 1827 - 1912) เป็นศัลยแพทย์ชาวอังกฤษ เขาคิดว่าการเกิดหนองหลังจากการผ่าตัด อาจจะเกิดจากเชื้อโรคในอากาศ ดังนั้นจึงต้องหาวิธีกำจัดเสียก่อน เขาทดลองใช้กรดคาร์บอลิกเจือจาง ทำความสะอาดบริเวณที่จะทำการผ่าตัด และทำความสะอาดเครื่องมือ ใช้ผ้าเช็ดมือที่สะอาดขณะที่มีการผ่าตัด และได้ทดลองผ่าตัดคนไข้คนหนึ่ง ปรากฎว่าไม่มีหนอง และการอักเสบเกิดขึ้นอีกเลย
4. วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสมัยปัจจุบัน
การศึกษาและการประดิษฐ์คิดค้นทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งครั้งหนึ่งในสมัยประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา เป็นเพียงกิจกรรมส่วนหนึ่งของนักปราชญ์กลุ่มย่อยๆ ในสังคม ได้เปลี่ยนแปลงกลายมาเป็นอาชีพที่หลายคนให้ความเชื่อถือ และใฝ่ฝันที่จะได้เข้าไปมีบทบาทร่วมดำเนินการ ฐานะ และภาพพจน์ของสังคมที่มีต่ออาชีพการวิจัยและการประดิษฐ์คิดค้น ไม่ว่าจะเป็นของนักวิทยาศาสตร์ วิศวกร หรือ นักเทคโนโลยี ไม่เป็นรองอาชีพใด ๆ ประเทศมหาอำนาจต่าง ๆ ได้กำหนดนโยบายสนับสนุนงานค้นคว้าวิจัยเป็นอย่างมาก จึงเกิดสถาบันค้นคว้าวิจัยที่มีผู้ทำงานเป็นกลุ่มซึ่งแต่ละคนจะฝึกฝนมาเป็นผู้ชำนาญเฉพาะด้านเฉพาะแขนง งบประมาณสำหรับการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนั้น ได้จากงบประมาณแผ่นดิน แหล่งเงินทุน มูลนิธิ และบริษัทอุตสาหกรรมต่าง ๆ ซึ่งให้ในรูปเงินทุนวิจัยแก่มหาวิทยาลัย หรือจัดตั้งห้องปฏิบัติการของตนเองแล้วจ้างนักวิทยาศาสตร์หรือวิศวกรเข้าไปทำงานวิจัย การคิดค้นทฤษฎีและวิธีการประยุกต์จึงเป็นไปอย่างกว้างขวางต่อเนื่องและรวดเร็ว ผลงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่พิมพ์เผยแพร่กันในปัจจุบันและสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ มีมากมายจนไม่สามารถที่จะรวบรวมไว้ ณ ที่หนึ่งที่ใดได้หมดสิ้น เนื้อหาความรู้ในแต่ละแขนงวิชาก็มีความลึกซึ้ง และเริ่มขยายขอบเขตไปคาบเกี่ยวกับคน ในบางครั้งไม่อาจจะแยกลงไปอย่างชัดเจนว่าจัดอยู่ในสาขาใดแน่ ตัวอย่างเช่น วิชาชีวเคมี วิชาชีวฟิสิกส์ และวิศวกรรมการแพทย์ เป็นต้น (เติมศักดิ์ เศรษฐวัชราวนิช. 2540 :4-10)
http://www.rmutphysics.com/CHARUD/specialnews/6/science/unit4_12.html
การเปลี่ยนแปลงระบบอุปกรณ์
ความก้าวหน้าทางด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ทำให้เกิดการแข่งขันกันทางธุรกิจสูงมาก มีการคิดประดิษฐ์อุปกรณ์ใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา
ความเจริญก้าวหน้าทางด้านนี้เติบโตและรุดหน้าจนเกินกว่าที่คนทั่วๆ ไปจะติดตามได้ทัน ดังนั้นเมื่อนักเรียนมีโอกาสจึงควรศึกษาหาความรู้
และศึกษาถึงความก้าวหน้าในวิทยาการเหล่านี้เพื่อจะได้นำมาใช้ในชีวิตประจำวัน
ระบบควบคุมอัตโนมัติและหุ่นยนต์คอมพิวเตอร์
เนื่องจากชิปที่เป็นไมโครโพรเซสเซอร์เป็นชิ้นส่วนทางอิเล็กทรอนิกส์ที่มีขนาดเล็ก ปัจจุบันสามารถผลิตไมโครโพรเซสเซอร์ได้จำนวนมากและราคาถูก
จึงมีผู้นำไปใช้เป็นอุปกรณ์ควบคุมให้ทำงานอัตโนมัติ เครื่องใช้ในบ้านที่มีไมโครโพรเซสเซอร์เป็นส่วนประกอบ เช่น เครื่องปรับอากาศ เตาอบไมโครเวฟ
เครื่องซักผ้าก็ล้วนแล้วแต่ทำงานแบบอัตโนมัติได้ แม้แต่ โทรทัศน์ เครื่องเสียง ก็ใช้ระบบควบคุมระยะไกลมีการตั้งโปรแกรมการทำงานแบบต่างๆ
การใช้งานไมโครโพรเซสเซอร์ครอบคลุมไปทุกเรื่อง ทั้งในลิฟต์ รถยนต์ ก็ใช้ระบบควบคุมอัตโนมัติ จนในปัจจุบันมีการสร้างอาคารอัจฉริยะ
กล่าวคือใช้คอมพิวเตอร์ควบคุมอาคารเพื่อให้ประหยัดพลังงาน ควบคุมระบบรักษาความปลอดภัยให้กับผู้อยู่ในอาคาร ทั้งการป้องกันการโจรกรรม และอัคคีภัย
ระบบอัตโนมัติจะเข้ามามีบทบาทในวิถีชีวิตของคนไทยมากขึ้น
นอกจากนี้ยังมีการสร้างหุ่นยนต์เพื่อใช้ในงานทางอุตสาหกรรมมากขึ้น หุ่นยนต์เข้ามามีบทบาทในการทำงานต่างๆ เช่น การทาสี การเชื่อม การประกอบชิ้นส่วนอุปกรณ์ การทำงานในที่คับขันหรือที่มีสิ่งแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมสำหรับมนุษย์ที่จะเข้าไปทำงาน
หุ่นยนต์
ระบบบัตรอิเล็กทรอนิกส์
ระบบที่มีการใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ที่เรารู้จักกันดี คือระบบการฝากหรือถอนเงินอัตโนมัติหรือที่เรียกว่า บัตรเอทีเอ็ม นอกจากนี้ยังมีการใช้บัตร
อิเล็กทรอนิกส์เป็นบัตรเครดิต (credit card) ผู้ใช้บัตรเครดิตสามารถซื้อสินค้าจากที่ต่างๆ แทนเงินสด ซึ่งจะมีการเรียกเก็บเงินภายหลัง การเรียกเก็บเงิน
อาจใช้วิธีการโอนผ่านบัญชีธนาคาร ระบบนี้ให้ความสะดวกที่ไม่ต้องพกพาเงินสดติดตัว บัตรอิเล็กทรอนิกส์จะเป็นบัตรพลาสติกมีแถบแม่เหล็ก
ที่มีรหัสประจำตัวของผู้ใช้ เพื่อบอกรายละเอียดว่าผู้ถือบัตรเป็นใคร อาจจะต้องใช้ควบคู่กับรหัสประจำตัวที่ผู้ใช้นั้นได้มาและเป็นรหัสเฉพาะ
บัตรเครดิต
บัตรอิเล็กทรอนิกส์อีกอย่างหนึ่ง คือ บัตรเก่ง (smart card) บัตรชนิดใหม่นี้บรรจุชิปที่เป็นหน่วยความจำและวงจรไมโครโพรเซสเซอร์ลงไปด้วย
ทำให้บัตรมีขีดความสามารถในการประมวลผลและจดจำข้อมูลไว้ในบัตร บัตรนี้อาจนำมาใช้ในงานด้านต่างๆ เช่น ใช้เก็บประวัติคนไข้เมื่อคนไข้
จะเข้ารักษาพยาบาล แพทย์สามารถดูข้อมูลในบัตรได้ นอกจากนี้ยังสามารถใช้จ่ายค่าบริการต่างๆ ซึ่งจะมีข้อมูลยอดบัญชีเงินคงเหลืออยู่ในบัตร
ในอนาคตอันใกล้มีแนวโน้มที่จะมีการใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์แทนบัตรประจำตัวประชาชน บัตรประจำตัวนักเรียน นักศึกษา
บัตรเก่งและเครื่องอ่าน
ระบบบอกตำแหน่งบนพื้นโลก (Global Positioning System GPS)
พัฒนาการทางด้านอวกาศทำให้ประเทศที่มีเทคโนโลยีด้านนี้ส่งดาวเทียมขึ้นไปโคจรอยู่บนท้องฟ้าในตำแหน่งต่างๆ เพื่อรับส่งสัญญาณกับเครื่อง
บอกตำแหน่งบนพื้นโลก เครื่องบอกตำแหน่งนี้มีขนาดเล็กเท่าวิทยุมือถือ เมื่อส่งสัญญาณรับส่งกับดาวเทียมสามดวงก็จะบอกตำแหน่งพิกัดเส้นละติจูด (เส้นรุ้ง)
เส้นลองติจูด (เส้นแวง) บนพื้นโลกได้อย่างละเอียดตามตำแหน่งที่อยู่ เครื่องบอกตำแหน่งนี้ได้รับการนำมาใช้งานด้านต่างๆ เช่น ใช้ติดรถยนต์เพื่อบอก
ตำแหน่งรถยนต์ในแผนที่ และให้คอมพิวเตอร์เลือกเส้นทางการเดินทางที่ดี ใช้สำหรับงานสร้างแผนที่ทางภูมิศาสตร์ ใช้ในการคำนวณหาระยะทาง
ของสองจุดในพื้นที่โลกที่อยู่ห่างไกลกันได้อย่างแม่นยำ ใช้ในระบบการติดตามโจรผู้ร้ายของกรมตำรวจ เพื่อส่งรถสายตรวจไปยังบริเวณที่เกิดเหตุให้รวดเร็วที่สุด
ตัวอย่างอุปกรณ์บอกตำแหน่ง
อุปกรณ์พิเศษสำหรับรับข้อมูลและแสดงผล
เพื่อให้การทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ดียิ่งขึ้น จึงมีผู้พัฒนาระบบรับข้อมูลและระบบแสดงผลข้อมูลให้ใช้งานได้สะดวก ระบบรับข้อมูลใหม่มีข้อเด่นใน
เรื่องการรับและส่งข้อมูลได้สะดวก แม่นยำ และใช้ประโยชน์ได้กว้างขวาง เช่น อุปกรณ์อ่านข้อมูลจากรหัสแท่ง อุปกรณ์อ่านข้อมูลด้วยแสง อุปกรณ์บันทึกข้อมูล
ระยะไกล อุปกรณ์แสดงผลข้อมูลด้วยเสียง และอุปกรณ์ตรวจสอบลายนิ้วมือ
อุปกรณ์อ่านข้อมูลจากรหัสแท่ง
ความก้าวหน้าทางด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ทำให้เกิดการแข่งขันกันทางธุรกิจสูงมาก มีการคิดประดิษฐ์อุปกรณ์ใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา
ความเจริญก้าวหน้าทางด้านนี้เติบโตและรุดหน้าจนเกินกว่าที่คนทั่วๆ ไปจะติดตามได้ทัน ดังนั้นเมื่อนักเรียนมีโอกาสจึงควรศึกษาหาความรู้
และศึกษาถึงความก้าวหน้าในวิทยาการเหล่านี้เพื่อจะได้นำมาใช้ในชีวิตประจำวัน
ระบบควบคุมอัตโนมัติและหุ่นยนต์คอมพิวเตอร์
เนื่องจากชิปที่เป็นไมโครโพรเซสเซอร์เป็นชิ้นส่วนทางอิเล็กทรอนิกส์ที่มีขนาดเล็ก ปัจจุบันสามารถผลิตไมโครโพรเซสเซอร์ได้จำนวนมากและราคาถูก
จึงมีผู้นำไปใช้เป็นอุปกรณ์ควบคุมให้ทำงานอัตโนมัติ เครื่องใช้ในบ้านที่มีไมโครโพรเซสเซอร์เป็นส่วนประกอบ เช่น เครื่องปรับอากาศ เตาอบไมโครเวฟ
เครื่องซักผ้าก็ล้วนแล้วแต่ทำงานแบบอัตโนมัติได้ แม้แต่ โทรทัศน์ เครื่องเสียง ก็ใช้ระบบควบคุมระยะไกลมีการตั้งโปรแกรมการทำงานแบบต่างๆ
การใช้งานไมโครโพรเซสเซอร์ครอบคลุมไปทุกเรื่อง ทั้งในลิฟต์ รถยนต์ ก็ใช้ระบบควบคุมอัตโนมัติ จนในปัจจุบันมีการสร้างอาคารอัจฉริยะ
กล่าวคือใช้คอมพิวเตอร์ควบคุมอาคารเพื่อให้ประหยัดพลังงาน ควบคุมระบบรักษาความปลอดภัยให้กับผู้อยู่ในอาคาร ทั้งการป้องกันการโจรกรรม และอัคคีภัย
ระบบอัตโนมัติจะเข้ามามีบทบาทในวิถีชีวิตของคนไทยมากขึ้น
นอกจากนี้ยังมีการสร้างหุ่นยนต์เพื่อใช้ในงานทางอุตสาหกรรมมากขึ้น หุ่นยนต์เข้ามามีบทบาทในการทำงานต่างๆ เช่น การทาสี การเชื่อม การประกอบชิ้นส่วนอุปกรณ์ การทำงานในที่คับขันหรือที่มีสิ่งแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมสำหรับมนุษย์ที่จะเข้าไปทำงาน
หุ่นยนต์
ระบบบัตรอิเล็กทรอนิกส์
ระบบที่มีการใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ที่เรารู้จักกันดี คือระบบการฝากหรือถอนเงินอัตโนมัติหรือที่เรียกว่า บัตรเอทีเอ็ม นอกจากนี้ยังมีการใช้บัตร
อิเล็กทรอนิกส์เป็นบัตรเครดิต (credit card) ผู้ใช้บัตรเครดิตสามารถซื้อสินค้าจากที่ต่างๆ แทนเงินสด ซึ่งจะมีการเรียกเก็บเงินภายหลัง การเรียกเก็บเงิน
อาจใช้วิธีการโอนผ่านบัญชีธนาคาร ระบบนี้ให้ความสะดวกที่ไม่ต้องพกพาเงินสดติดตัว บัตรอิเล็กทรอนิกส์จะเป็นบัตรพลาสติกมีแถบแม่เหล็ก
ที่มีรหัสประจำตัวของผู้ใช้ เพื่อบอกรายละเอียดว่าผู้ถือบัตรเป็นใคร อาจจะต้องใช้ควบคู่กับรหัสประจำตัวที่ผู้ใช้นั้นได้มาและเป็นรหัสเฉพาะ
บัตรเครดิต
บัตรอิเล็กทรอนิกส์อีกอย่างหนึ่ง คือ บัตรเก่ง (smart card) บัตรชนิดใหม่นี้บรรจุชิปที่เป็นหน่วยความจำและวงจรไมโครโพรเซสเซอร์ลงไปด้วย
ทำให้บัตรมีขีดความสามารถในการประมวลผลและจดจำข้อมูลไว้ในบัตร บัตรนี้อาจนำมาใช้ในงานด้านต่างๆ เช่น ใช้เก็บประวัติคนไข้เมื่อคนไข้
จะเข้ารักษาพยาบาล แพทย์สามารถดูข้อมูลในบัตรได้ นอกจากนี้ยังสามารถใช้จ่ายค่าบริการต่างๆ ซึ่งจะมีข้อมูลยอดบัญชีเงินคงเหลืออยู่ในบัตร
ในอนาคตอันใกล้มีแนวโน้มที่จะมีการใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์แทนบัตรประจำตัวประชาชน บัตรประจำตัวนักเรียน นักศึกษา
บัตรเก่งและเครื่องอ่าน
ระบบบอกตำแหน่งบนพื้นโลก (Global Positioning System GPS)
พัฒนาการทางด้านอวกาศทำให้ประเทศที่มีเทคโนโลยีด้านนี้ส่งดาวเทียมขึ้นไปโคจรอยู่บนท้องฟ้าในตำแหน่งต่างๆ เพื่อรับส่งสัญญาณกับเครื่อง
บอกตำแหน่งบนพื้นโลก เครื่องบอกตำแหน่งนี้มีขนาดเล็กเท่าวิทยุมือถือ เมื่อส่งสัญญาณรับส่งกับดาวเทียมสามดวงก็จะบอกตำแหน่งพิกัดเส้นละติจูด (เส้นรุ้ง)
เส้นลองติจูด (เส้นแวง) บนพื้นโลกได้อย่างละเอียดตามตำแหน่งที่อยู่ เครื่องบอกตำแหน่งนี้ได้รับการนำมาใช้งานด้านต่างๆ เช่น ใช้ติดรถยนต์เพื่อบอก
ตำแหน่งรถยนต์ในแผนที่ และให้คอมพิวเตอร์เลือกเส้นทางการเดินทางที่ดี ใช้สำหรับงานสร้างแผนที่ทางภูมิศาสตร์ ใช้ในการคำนวณหาระยะทาง
ของสองจุดในพื้นที่โลกที่อยู่ห่างไกลกันได้อย่างแม่นยำ ใช้ในระบบการติดตามโจรผู้ร้ายของกรมตำรวจ เพื่อส่งรถสายตรวจไปยังบริเวณที่เกิดเหตุให้รวดเร็วที่สุด
ตัวอย่างอุปกรณ์บอกตำแหน่ง
อุปกรณ์พิเศษสำหรับรับข้อมูลและแสดงผล
เพื่อให้การทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ดียิ่งขึ้น จึงมีผู้พัฒนาระบบรับข้อมูลและระบบแสดงผลข้อมูลให้ใช้งานได้สะดวก ระบบรับข้อมูลใหม่มีข้อเด่นใน
เรื่องการรับและส่งข้อมูลได้สะดวก แม่นยำ และใช้ประโยชน์ได้กว้างขวาง เช่น อุปกรณ์อ่านข้อมูลจากรหัสแท่ง อุปกรณ์อ่านข้อมูลด้วยแสง อุปกรณ์บันทึกข้อมูล
ระยะไกล อุปกรณ์แสดงผลข้อมูลด้วยเสียง และอุปกรณ์ตรวจสอบลายนิ้วมือ
อุปกรณ์อ่านข้อมูลจากรหัสแท่ง
เทคโนโลยีโทรคมนาคมสมัยใหม่
เทคโนโลยีสื่อสารโทรคมนาคมกำลังได้รับความสนใจอย่างยิ่ง การสื่อสารเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญต่อการพัฒนาประเทศ ประเทศที่พัฒนาแล้วจะมีระบบสื่อสารโทรคมนาคมที่ทันสมัย ขณะเดียวกันพัฒนาการทางเทคโนโลยีสื่อสารโทรคมนาคมก็ได้ก้าวหน้าขึ้นไปอีกมาก มีการให้บริการระบบสื่อสารสมัยใหม่อยู่มากมาย เทคโนโลยีเหล่านี้จึงได้รับความสนใจ
การสื่อสารผ่านดาวเทียม (satellite-based communication) เนื่องจากท้องที่ทางภูมิศาสตร์เต็มไปด้วยภูเขา หุบเขา หรือเป็นเกาะอยู่ในทะเล
การสื่อสารที่ดีวิธีหนึ่งคือการใช้ดาวเทียม ดาวเทียมได้รับการส่งให้โคจรรอบโลก โดยมีการเคลื่อนที่ไปพร้อมกับการหมุนของโลก ทำให้ดาวเทียมอยู่ในตำแหน่ง
คงที่เมื่อมองจากพื้นโลก ดาวเทียมจะมีเครื่องถ่ายทอดสัญญาณติดตั้งอยู่ การสื่อสารโดยผ่านดาวเทียมจะทำโดยการส่งสัญญาณสื่อสารจากสถานีภาคพื้นดิน
แห่งหนึ่งขึ้นไปยังดาวเทียม เมื่อดาวเทียมรับก็จะส่งกลับมายังสถานีภาคพื้นดินอีกแห่งหนึ่งหรือหลายแห่ง เราจึงใช้ดาวเทียมเพื่อแพร่ภาพสัญญาณโทรทัศน์ได้
การรับจะครอบคลุมพื้นที่ที่ดาวเทียมลอยอยู่ ซึ่งจะมีบริเวณกว้างมากและทำได้โดยไม่มีอุปสรรคทางภูมิศาสตร์ เช่น มีแนวเขาบังสัญญาณ
ดาวเทียมจึงเป็นสถานีกลางที่ถ่ายทอดสัญญาณจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งได้
การสื่อสารผ่านดาวเทียม
ปัจจุบันประเทศไทยมีดาวเทียมไทยคมสามดวงลอยอยู่เหนือประเทศทางด้านมหาสมุทรอินเดียและอ่าวไทย ดาวเทียมไทยคมนี้ใช้ประโยชน์ทางด้านการสื่อสารของประเทศได้มาก เพราะเป็นการให้บริการสื่อสารของประเทศในรูปแบบต่างๆ ตั้งแต่การรับส่งสัญญาณโทรทัศน์ สัญญาณจากวิทยุ สัญญาณข้อมูลข่าวสารต่างๆ
ดาวเทียมไทยคม
การสื่อสารด้วยเส้นใยนำแสง (fiber optic) เส้นใยนำแสงมีลักษณะเป็นท่อแก้วที่อ่อนตัวอยู่ในสายที่หุ้มด้วยพลาสติก ลักษณะของท่อแก้วหุ้มด้วย
สารพิเศษที่ทำให้เกิดการหักเหของแสงอยู่ภายในท่อแก้ว ดังนั้นเราสามารถส่งแสงจากปลายด้านหนึ่งให้ไปปรากฏที่ปลายอีกด้านหนึ่งได้ แม้ว่าเส้นใยนำแสงนั้น
จะคดงอไปอย่างไรก็ตามก็จะส่งแสงเข้าไปในท่อแก้วได้ เมื่อมีการนำเอาข้อมูลเข้าไปผสมกับแสง เพื่อให้แสงกระพริบตามการเปลี่ยนแปลงของข้อมูล
ทำให้เรารับส่งสัญญาณข้อมูลไปกับแสงได้ การรับส่งข้อมูลเข้าไปในแสงทำได้มากและรวดเร็ว
เส้นใยนำแสง
ปัจจุบันในประเทศไทยมีการวางเครือข่ายเส้นใยนำแสงไปตามถนนหนทางต่างๆ ทั้งใต้ดิน และที่แขวนไปตามเสาไฟฟ้า มีการวางเชื่อมโยงกันระหว่าง
จังหวัด เพื่อให้ระบบสื่อสารเป็นเสมือนเส้นทางด่วนที่รองรับการสื่อสารของประเทศ
โครงข่ายบริการสื่อสารร่วมระบบดิจิทัล (Integrated Service Digital Network : ISDN) ลักษณะเครือข่ายนี้เป็นการขยายการบริการจากระบบโทรศัพท์เดิมให้เป็นระบบดิจิทัลคือส่งสัญญาณข้อมูลตัวเลขแทนเสียง แทนภาพ แทนข้อมูล
การสื่อสารโครงข่ายบริการสื่อสารร่วมระบบดิจิทัลจึงเน้นการประยุกต์ใช้งานหลายอย่างบนเครือข่ายเดียวกัน โดยวางฐานขยายจากโทรศัพท์ เช่น
ในสายโทรศัพท์เส้นเดียวที่เชื่อมต่อไปยังบ้านเรือนผู้ใช้ สามารถประยุกต์ให้เป็นระบบโทรศัพท์ที่เห็นภาพ ใช้ส่งโทรสาร ใช้เป็นระบบการประชุม
ทางวีดิทัศน์ ใช้ในการส่งข้อมูลทางคอมพิวเตอร์ เพื่อเชื่อมโยงกับระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ การดำเนินการเหล่านี้สามารถทำได้พร้อมกันบนสายสื่อสาร
เดียวกันโครงข่ายบริการสื่อสารร่วมระบบดิจิทัลควรได้รับการพัฒนา โดยวางโครงสร้างพื้นฐานการเชื่อมโยงต่างๆ ไว้ให้พร้อม เพื่อรองรับความเร็ว
ของการรับส่งข้อมูลได้สูงขึ้น
ระบบเครือข่ายสวิตชิง (switching technology) ด้วยเทคโนโลยีเอทีเอ็มสวิตชิงที่มีความเร็วสูงทำให้การสื่อสารผ่านเส้นใยนำแสงในการ
ส่งผ่านข้อมูลจากต้นทางไปยังปลายทางได้ด้วยความเร็วหลายร้อยเมกะบิตต่อวินาที เอทีเอ็มสวิตชิงจึงเป็นเทคโนโลยีของการสร้างเครือข่ายข้อมูลข่าวสาร
ที่จะรองรับการใช้งานแบบสื่อประสม ปัจจุบันหลายหน่วยงานได้เริ่มใช้เครือข่ายด้วยเทคโนโลยีเอทีเอ็มสวิตชิงภายในองค์กรของตนเอง และมีแนวโน้ม
การขยายตัวเพื่อรองรับระบบนี้สำหรับเครือข่ายระยะไกลในอนาคตต่อไป
ระบบสื่อสารเคลื่อนที่ (mobile phone system) หรือที่เรียกว่าระบบเซลลูลาร์โฟน (cellular phone system) ที่ใช้กับโทรศัพท์ ทำให้มีโทรศัพท์ติดรถยนต์
โทรศัพท์เคลื่อนที่ ปัจจุบันการสื่อสารระบบนี้เป็นที่แพร่หลายและนิยมใช้กันมาก ลักษณะการทำงานของระบบสื่อสารแบบนี้คือ มีการกำหนดพื้นที่เป็นเซล
เหมือนรวงผึ้ง แต่ละเซลจะครอบคลุมพื้นที่บริเวณหนึ่ง มีระบบสื่อสารเชื่อมโยงระหว่างเซลเข้าด้วยกัน ครอบคลุมพื้นที่บริการไว้ทั้งหมด ดังนั้นเมื่อเราอยู่ที่บริเวณ
พื้นที่บริการใด และมีการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ สัญญาณจากโทรศัพท์เคลื่อนที่จะเชื่อมโยงกับสถานีรับส่งประจำเซลขึ้น ทำให้ติดต่อไปยังข่ายสื่อสารที่ใดก็ได้
ครั้นเมื่อเราเคลื่อนที่ออกนอกพื้นที่ก็จะโอนการรับส่งไปยังเซลที่อยู่ข้างเคียงโดยที่สัญญาณสื่อสารไม่ขาดหาย
โทรศัพท์เคลื่อนที่
ระบบสื่อสารไร้สาย (wireless communication) เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นเพื่อสร้างความสะดวกในการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ เข้าสู่เครือข่าย
ระบบที่รู้จักและใช้งานกันแพร่หลายคือ ระบบแลนไร้สาย (wireless LAN) เป็นระบบเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ต่างๆ เข้าสู่เครือข่ายด้วยสัญญาณวิทยุ
สามารถเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์เข้าสู่ระบบด้วยความสูงถึง 11 เมกะบิตต่อวินาที
ระบบเครือข่ายไร้สายที่รู้จักและนำมาประยุกต์ใช้กันมากอีกระบบหนึ่งคือ ระบบบลูทูธ (bluetooth) เป็นการเชื่อมโยงอุปกรณ์ต่างๆ เข้าสู่เครือข่ายใน
ระยะใกล้ เพื่อลดการใช้สายสัญญาณ และสร้างความสะดวกในการใช้งาน
เทคโนโลยีสื่อสารโทรคมนาคมกำลังได้รับความสนใจอย่างยิ่ง การสื่อสารเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญต่อการพัฒนาประเทศ ประเทศที่พัฒนาแล้วจะมีระบบสื่อสารโทรคมนาคมที่ทันสมัย ขณะเดียวกันพัฒนาการทางเทคโนโลยีสื่อสารโทรคมนาคมก็ได้ก้าวหน้าขึ้นไปอีกมาก มีการให้บริการระบบสื่อสารสมัยใหม่อยู่มากมาย เทคโนโลยีเหล่านี้จึงได้รับความสนใจ
การสื่อสารผ่านดาวเทียม (satellite-based communication) เนื่องจากท้องที่ทางภูมิศาสตร์เต็มไปด้วยภูเขา หุบเขา หรือเป็นเกาะอยู่ในทะเล
การสื่อสารที่ดีวิธีหนึ่งคือการใช้ดาวเทียม ดาวเทียมได้รับการส่งให้โคจรรอบโลก โดยมีการเคลื่อนที่ไปพร้อมกับการหมุนของโลก ทำให้ดาวเทียมอยู่ในตำแหน่ง
คงที่เมื่อมองจากพื้นโลก ดาวเทียมจะมีเครื่องถ่ายทอดสัญญาณติดตั้งอยู่ การสื่อสารโดยผ่านดาวเทียมจะทำโดยการส่งสัญญาณสื่อสารจากสถานีภาคพื้นดิน
แห่งหนึ่งขึ้นไปยังดาวเทียม เมื่อดาวเทียมรับก็จะส่งกลับมายังสถานีภาคพื้นดินอีกแห่งหนึ่งหรือหลายแห่ง เราจึงใช้ดาวเทียมเพื่อแพร่ภาพสัญญาณโทรทัศน์ได้
การรับจะครอบคลุมพื้นที่ที่ดาวเทียมลอยอยู่ ซึ่งจะมีบริเวณกว้างมากและทำได้โดยไม่มีอุปสรรคทางภูมิศาสตร์ เช่น มีแนวเขาบังสัญญาณ
ดาวเทียมจึงเป็นสถานีกลางที่ถ่ายทอดสัญญาณจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งได้
การสื่อสารผ่านดาวเทียม
ปัจจุบันประเทศไทยมีดาวเทียมไทยคมสามดวงลอยอยู่เหนือประเทศทางด้านมหาสมุทรอินเดียและอ่าวไทย ดาวเทียมไทยคมนี้ใช้ประโยชน์ทางด้านการสื่อสารของประเทศได้มาก เพราะเป็นการให้บริการสื่อสารของประเทศในรูปแบบต่างๆ ตั้งแต่การรับส่งสัญญาณโทรทัศน์ สัญญาณจากวิทยุ สัญญาณข้อมูลข่าวสารต่างๆ
ดาวเทียมไทยคม
การสื่อสารด้วยเส้นใยนำแสง (fiber optic) เส้นใยนำแสงมีลักษณะเป็นท่อแก้วที่อ่อนตัวอยู่ในสายที่หุ้มด้วยพลาสติก ลักษณะของท่อแก้วหุ้มด้วย
สารพิเศษที่ทำให้เกิดการหักเหของแสงอยู่ภายในท่อแก้ว ดังนั้นเราสามารถส่งแสงจากปลายด้านหนึ่งให้ไปปรากฏที่ปลายอีกด้านหนึ่งได้ แม้ว่าเส้นใยนำแสงนั้น
จะคดงอไปอย่างไรก็ตามก็จะส่งแสงเข้าไปในท่อแก้วได้ เมื่อมีการนำเอาข้อมูลเข้าไปผสมกับแสง เพื่อให้แสงกระพริบตามการเปลี่ยนแปลงของข้อมูล
ทำให้เรารับส่งสัญญาณข้อมูลไปกับแสงได้ การรับส่งข้อมูลเข้าไปในแสงทำได้มากและรวดเร็ว
เส้นใยนำแสง
ปัจจุบันในประเทศไทยมีการวางเครือข่ายเส้นใยนำแสงไปตามถนนหนทางต่างๆ ทั้งใต้ดิน และที่แขวนไปตามเสาไฟฟ้า มีการวางเชื่อมโยงกันระหว่าง
จังหวัด เพื่อให้ระบบสื่อสารเป็นเสมือนเส้นทางด่วนที่รองรับการสื่อสารของประเทศ
โครงข่ายบริการสื่อสารร่วมระบบดิจิทัล (Integrated Service Digital Network : ISDN) ลักษณะเครือข่ายนี้เป็นการขยายการบริการจากระบบโทรศัพท์เดิมให้เป็นระบบดิจิทัลคือส่งสัญญาณข้อมูลตัวเลขแทนเสียง แทนภาพ แทนข้อมูล
การสื่อสารโครงข่ายบริการสื่อสารร่วมระบบดิจิทัลจึงเน้นการประยุกต์ใช้งานหลายอย่างบนเครือข่ายเดียวกัน โดยวางฐานขยายจากโทรศัพท์ เช่น
ในสายโทรศัพท์เส้นเดียวที่เชื่อมต่อไปยังบ้านเรือนผู้ใช้ สามารถประยุกต์ให้เป็นระบบโทรศัพท์ที่เห็นภาพ ใช้ส่งโทรสาร ใช้เป็นระบบการประชุม
ทางวีดิทัศน์ ใช้ในการส่งข้อมูลทางคอมพิวเตอร์ เพื่อเชื่อมโยงกับระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ การดำเนินการเหล่านี้สามารถทำได้พร้อมกันบนสายสื่อสาร
เดียวกันโครงข่ายบริการสื่อสารร่วมระบบดิจิทัลควรได้รับการพัฒนา โดยวางโครงสร้างพื้นฐานการเชื่อมโยงต่างๆ ไว้ให้พร้อม เพื่อรองรับความเร็ว
ของการรับส่งข้อมูลได้สูงขึ้น
ระบบเครือข่ายสวิตชิง (switching technology) ด้วยเทคโนโลยีเอทีเอ็มสวิตชิงที่มีความเร็วสูงทำให้การสื่อสารผ่านเส้นใยนำแสงในการ
ส่งผ่านข้อมูลจากต้นทางไปยังปลายทางได้ด้วยความเร็วหลายร้อยเมกะบิตต่อวินาที เอทีเอ็มสวิตชิงจึงเป็นเทคโนโลยีของการสร้างเครือข่ายข้อมูลข่าวสาร
ที่จะรองรับการใช้งานแบบสื่อประสม ปัจจุบันหลายหน่วยงานได้เริ่มใช้เครือข่ายด้วยเทคโนโลยีเอทีเอ็มสวิตชิงภายในองค์กรของตนเอง และมีแนวโน้ม
การขยายตัวเพื่อรองรับระบบนี้สำหรับเครือข่ายระยะไกลในอนาคตต่อไป
ระบบสื่อสารเคลื่อนที่ (mobile phone system) หรือที่เรียกว่าระบบเซลลูลาร์โฟน (cellular phone system) ที่ใช้กับโทรศัพท์ ทำให้มีโทรศัพท์ติดรถยนต์
โทรศัพท์เคลื่อนที่ ปัจจุบันการสื่อสารระบบนี้เป็นที่แพร่หลายและนิยมใช้กันมาก ลักษณะการทำงานของระบบสื่อสารแบบนี้คือ มีการกำหนดพื้นที่เป็นเซล
เหมือนรวงผึ้ง แต่ละเซลจะครอบคลุมพื้นที่บริเวณหนึ่ง มีระบบสื่อสารเชื่อมโยงระหว่างเซลเข้าด้วยกัน ครอบคลุมพื้นที่บริการไว้ทั้งหมด ดังนั้นเมื่อเราอยู่ที่บริเวณ
พื้นที่บริการใด และมีการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ สัญญาณจากโทรศัพท์เคลื่อนที่จะเชื่อมโยงกับสถานีรับส่งประจำเซลขึ้น ทำให้ติดต่อไปยังข่ายสื่อสารที่ใดก็ได้
ครั้นเมื่อเราเคลื่อนที่ออกนอกพื้นที่ก็จะโอนการรับส่งไปยังเซลที่อยู่ข้างเคียงโดยที่สัญญาณสื่อสารไม่ขาดหาย
โทรศัพท์เคลื่อนที่
ระบบสื่อสารไร้สาย (wireless communication) เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นเพื่อสร้างความสะดวกในการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ เข้าสู่เครือข่าย
ระบบที่รู้จักและใช้งานกันแพร่หลายคือ ระบบแลนไร้สาย (wireless LAN) เป็นระบบเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ต่างๆ เข้าสู่เครือข่ายด้วยสัญญาณวิทยุ
สามารถเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์เข้าสู่ระบบด้วยความสูงถึง 11 เมกะบิตต่อวินาที
ระบบเครือข่ายไร้สายที่รู้จักและนำมาประยุกต์ใช้กันมากอีกระบบหนึ่งคือ ระบบบลูทูธ (bluetooth) เป็นการเชื่อมโยงอุปกรณ์ต่างๆ เข้าสู่เครือข่ายใน
ระยะใกล้ เพื่อลดการใช้สายสัญญาณ และสร้างความสะดวกในการใช้งาน
เทคโนโลยี2010
ทุกๆปีนักวิเคราะห์ของ Gartner จะมาระบุถึงแนวโน้มของเทคโนโลยีด้านไอทีที่สำคัญในปีหน้า และเช่นกันในปีนี้ Gartner ก็ได้ออกมาระบุถึง "The top 10 strategic technologies for 2010" ซึ่งมีเทคโนโลยีต่างๆดังนี้
Cloud Computing เทคโนโลยีที่จะมีผู้ให้บริการด้านไอทีซึ่งมี Infrastructure ที่พร้อมจะรองรับจำนวนผู้ใช้จำนวนมาก โดยให้บริการในรูปแบบต่างๆทั้ง SaaS (Software as a Services), PaaS (Platform as a Services) และ IaaS (Infrastructue as a Services) ผู้ที่สนใจข้อมูล Presentation เกี่ยวกับ Cloud Computing สามารถดูสไลด์เพิ่มเติมไ้ด้ที่ http://www.thaijavadev.com/customers/cloud/CloudSep09.pdf
Advanced Analytics การใช้เครื่องมือที่ทันสมัยในการที่จะจำลองและวิเคราะห์ Business Process และข้อมูลในองค์กรให้มีประสิทธิภาพและเหมาะสมมากที่สุด ซึ่งอาจจะมีต้องการนำเครื่องมือในการทำ Business Intelligence หรือ Dataware House เข้ามาใช้
Client Computing Virtualization จะถูกนำมาใช้ในเครื่อง Client ทำให้การเลือกใช้ OS ต่างๆมีความสำคัญน้อยลง และจะทำให้การบริหารจัดการ Client ทำได้ง่ายขึ้น ซึ่งอาจกลับเข้ามาสู่ยุค Thin Client อีกครั้ง
IT for Green การนำไอทีเข้ามาใช้ในการเพื่อลดสภาวะของโลก นอกเหนือจากการลดพลังงานที่จะมาจากการใช้อุปกรณ์ไอทีเช่น เครื่อง Server ที่ลดพลังงาน ยังมองไปถึงการนำไอทีเข้ามาลดการใช้พลังงานต่างๆเช่น e-Document เพื่อลดการใช้กระดาษ หรือ e-Officeเพื่อลดการเดินทาง
Reshaping the Data Center การจัดทำ DataCenter ในยุคใหม่จะมีก่ารออกแบบที่ใช้พื้นที่น้อยลง และลดค่าใช้
Social Computing สังคมการทำงานเริ่มเปลี่ยนไป องค์กรต่างๆจะต้องมีการเชื่อมต่อกับชุมชนมากขึ้น ดังนั้นจะมีการนำ social network เข้ามาใช้ในองค์กรมากขึ้น ผู้ที่สนใจข้อมูล Presentation เกี่ยวกับ Social Networks และ Web 2.0 สามารถดูสไลด์เพิ่มเติมไ้ด้ที่ http://www.thaijavadev.com/soa/presentations/TechTrends.pdf
Security - Activity Monitoring ระบบความปลอดภัยด้านไอทีเป็นเรื่องที่สำคัญ ซึ่งกำลังพัฒนาการไปสู่ความสามารถในการตรวจสอบกิจกรรมต่างๆที่ผู้ใช้กำลังทำอยู่รวมถึงเรื่องการระบุตัวตน
Flash Memory แม้จะไม่ใชเรื่องใหม่ แต่เนื่องจาก Flash Memory มีความเร็วสูงกว่า Rotating Disk เราจะเห็น storage ใหม่ๆมีการใช้ Flash memory ที่เพิ่มขึ้น
Virtualization for Availability เมื่อปีก่อน Gartner ได้กล่าวว่า Virtualization เป็นเทคโนโลยีอันหนึ่ง ปีนี้ได้ขยายให้เห็นว่าเราสามารถที่จะใช้ Virtualization สำหรับการทำ High Availability ของ Server
Mobile Applications ในปี 2010 จะมีโทรศัพท์มือถือถึง 1.2 พันล้านเครื่อง จะทำให้ Application บนโทรศัพท์มือถือมีความสำคัญมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นบน BlackBerry, iPhone หรือ Android ผู้ที่สนใจข้อมูล Presentation เกี่ยวกับ Mobile Applications สามารถดูสไลด์เพิ่มเติมไ้ด้ที่
Trends of Mobile Technology http://www.thaijavadev.com/technology/Mobile-Trends.pdf
Introduction to Android http://www.thaijavadev.com/technology/Mobile-Trends-android.pdf
โดย สภากาแฟ
ทุกๆปีนักวิเคราะห์ของ Gartner จะมาระบุถึงแนวโน้มของเทคโนโลยีด้านไอทีที่สำคัญในปีหน้า และเช่นกันในปีนี้ Gartner ก็ได้ออกมาระบุถึง "The top 10 strategic technologies for 2010" ซึ่งมีเทคโนโลยีต่างๆดังนี้
Cloud Computing เทคโนโลยีที่จะมีผู้ให้บริการด้านไอทีซึ่งมี Infrastructure ที่พร้อมจะรองรับจำนวนผู้ใช้จำนวนมาก โดยให้บริการในรูปแบบต่างๆทั้ง SaaS (Software as a Services), PaaS (Platform as a Services) และ IaaS (Infrastructue as a Services) ผู้ที่สนใจข้อมูล Presentation เกี่ยวกับ Cloud Computing สามารถดูสไลด์เพิ่มเติมไ้ด้ที่ http://www.thaijavadev.com/customers/cloud/CloudSep09.pdf
Advanced Analytics การใช้เครื่องมือที่ทันสมัยในการที่จะจำลองและวิเคราะห์ Business Process และข้อมูลในองค์กรให้มีประสิทธิภาพและเหมาะสมมากที่สุด ซึ่งอาจจะมีต้องการนำเครื่องมือในการทำ Business Intelligence หรือ Dataware House เข้ามาใช้
Client Computing Virtualization จะถูกนำมาใช้ในเครื่อง Client ทำให้การเลือกใช้ OS ต่างๆมีความสำคัญน้อยลง และจะทำให้การบริหารจัดการ Client ทำได้ง่ายขึ้น ซึ่งอาจกลับเข้ามาสู่ยุค Thin Client อีกครั้ง
IT for Green การนำไอทีเข้ามาใช้ในการเพื่อลดสภาวะของโลก นอกเหนือจากการลดพลังงานที่จะมาจากการใช้อุปกรณ์ไอทีเช่น เครื่อง Server ที่ลดพลังงาน ยังมองไปถึงการนำไอทีเข้ามาลดการใช้พลังงานต่างๆเช่น e-Document เพื่อลดการใช้กระดาษ หรือ e-Officeเพื่อลดการเดินทาง
Reshaping the Data Center การจัดทำ DataCenter ในยุคใหม่จะมีก่ารออกแบบที่ใช้พื้นที่น้อยลง และลดค่าใช้
Social Computing สังคมการทำงานเริ่มเปลี่ยนไป องค์กรต่างๆจะต้องมีการเชื่อมต่อกับชุมชนมากขึ้น ดังนั้นจะมีการนำ social network เข้ามาใช้ในองค์กรมากขึ้น ผู้ที่สนใจข้อมูล Presentation เกี่ยวกับ Social Networks และ Web 2.0 สามารถดูสไลด์เพิ่มเติมไ้ด้ที่ http://www.thaijavadev.com/soa/presentations/TechTrends.pdf
Security - Activity Monitoring ระบบความปลอดภัยด้านไอทีเป็นเรื่องที่สำคัญ ซึ่งกำลังพัฒนาการไปสู่ความสามารถในการตรวจสอบกิจกรรมต่างๆที่ผู้ใช้กำลังทำอยู่รวมถึงเรื่องการระบุตัวตน
Flash Memory แม้จะไม่ใชเรื่องใหม่ แต่เนื่องจาก Flash Memory มีความเร็วสูงกว่า Rotating Disk เราจะเห็น storage ใหม่ๆมีการใช้ Flash memory ที่เพิ่มขึ้น
Virtualization for Availability เมื่อปีก่อน Gartner ได้กล่าวว่า Virtualization เป็นเทคโนโลยีอันหนึ่ง ปีนี้ได้ขยายให้เห็นว่าเราสามารถที่จะใช้ Virtualization สำหรับการทำ High Availability ของ Server
Mobile Applications ในปี 2010 จะมีโทรศัพท์มือถือถึง 1.2 พันล้านเครื่อง จะทำให้ Application บนโทรศัพท์มือถือมีความสำคัญมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นบน BlackBerry, iPhone หรือ Android ผู้ที่สนใจข้อมูล Presentation เกี่ยวกับ Mobile Applications สามารถดูสไลด์เพิ่มเติมไ้ด้ที่
Trends of Mobile Technology http://www.thaijavadev.com/technology/Mobile-Trends.pdf
Introduction to Android http://www.thaijavadev.com/technology/Mobile-Trends-android.pdf
โดย สภากาแฟ
วันอังคารที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
อนาคตของเด็กไทย ในยุคการสื่อสารไร้พรมแดน
ปัจจุบันโลกของเทคโนโลยีสมัยใหม่ เข้ามามีบทบาทในสังคมไทย ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ ทุกเพศ ทุกวัย จนอาจกล่าวได้ว่าเทคโนโลยีเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันไปแล้ว นั่นอาจหมายถึง คอมพิวเตอร์ และโทรศัพท์มือถือ ซึ่งหากใช้อย่างสร้างสรรค์ก็จะเป็นประโยชน์กับผู้ใช้ ทั้งด้านการศึกษาและการเรียนรู้ ตลอดจนการค้นหาความบันเทิงในรูปแบบต่างๆ บนโลกอินเตอร์เน็ต
แต่ที่น่าเป็นห่วง คือเด็กและเยาวชนบางส่วนยังไม่สามารถแยกแยะได้ว่า สิ่งไหนดีสิ่งไหนไม่ดี เพราะบนโลกอินเตอร์เน็ต ที่มีความหลากหลายชวนให้ค้นหานั้น นอกจากจะให้ความรู้และคุณประโยชน์แล้ว ยังแฝงไว้ด้วยภัยหรืออันตรายแก่ผู้ใช้ หากรู้ไม่เท่าทัน
มีผู้ปกครองหลายคนอาจยังไม่เข้าใจ หรือยังไม่ทราบถึงภัยอันตรายต่างๆ ที่แฝงมากับโลกอินเตอร์เน็ต ตัวอย่างเช่นเด็กอาจพบเจอข้อความที่มีเนื้อหาส่อไปในทางลามก อนาจาร ที่อยู่ในสื่อโฆษณาต่างๆ บนเว็บไซต์นั้น
นอกจากนี้ยังมีเว็บไซต์การพนัน ที่แฝงมากับเกมออนไลน์ เปิดให้บริการโดยอาศัยช่องว่างของกฎหมาย คือเป็นการเล่นพนันในลักษณะสะสมแต้ม เพื่อแลกรับของรางวัล หรือการซ่อนของรางวัลไว้ในบางจุดของเกม ซึ่งหากผู้เล่นหาเจอก็สามารถเข้าไปรับของรางวัลนั้นได้ที่บริษัท
มีงานวิจัยหลายชิ้น ระบุว่า พ่อแม่ซึ่งเป็นผู้ใกล้ชิดกับเด็กมากที่สุด ไม่มีความรู้เกี่ยวกับการใช้อินเตอร์เน็ตของลูกมากนัก จากการสำรวจพ่อแม่ 300 ราย ที่มีลูกใช้อินเตอร์เน็ต ร้อยละ 40 ตอบว่า ไม่เคยตรวจสอบการสอบใช้อินเตอร์เน็ตของลูก มีเพียงร้อยละ 24 เท่านั้นที่ตรวจสอบอย่างใกล้ชิด ในขณะที่อีกร้อยละ 26 ตอบว่าไม่ทราบจะตรวจสอบอย่างไร
จากผลการสำรวจ ทำให้ทราบว่า พ่อแม่สื่อสารกับลูกน้อยมากในเรื่องการใช้อินเตอร์เน็ต ซึ่งช่องว่างนี้อาจเรียกได้ว่า เป็นทั้งช่องว่างระหว่างวัยและความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
ปัญหาการล่อลวงผ่านอินเตอร์เน็ต หรือที่รู้จักกัน “Chat room” เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่มีแนวโน้มว่าจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ หากไม่ได้รับการป้องกันและปราบปราม อย่างจริงจังจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งครอบครัว พ่อแม่ ผู้ปกครองควรดูแลเอาใจใส่บุตรหลานอย่างใกล้ชิด ไม่ใช่วัวหายแล้วมาล้อมคอกทีหลัง อย่างที่เคยเป็นข่าวอยู่บ่อยครั้ง
ปัญหานี้ไม่ใช่ปัญหาใหม่เพิ่งเกิด แต่เป็นมานานและสะท้อนให้เห็นถึงภัยที่แอบแฝงกับเทคโนโลยีไร้พรมแดน สถานการณ์ของสังคมไทยในภาวะขาลงแต่อันตรายมากขึ้นโดยเฉพาะกับเด็กและเยาวชนที่เป็นกำลังสำคัญของชาติ
คงไม่ใช่ภาระหรือหน้าที่ของใครโดยเฉพาะ แต่เป็นทุกฝ่ายที่ต้องร่วมมือกัน ทั้งภาครัฐและเอกชน สถาบันการศึกษา สำคัญที่สุดคือสถาบันครอบครัว ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของทั้งความคิดแลการกระทำ
เพราะอนาคตของชาติ คงไม่ใช่ใครที่ไหน ลูกหลานของเรานั่นเอง
อนาคตของเด็กไทยในยุคการสื่อสารไร้พรมแดน ในปัจจุบันเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในสังคมมากขึ้นทั้งที่เกิดขึ้นกับเด็กผู้ใหญ่แต่สิ่งที่เป็นปัญหาคือมันเข้ามามีบทบาทขึ้นกับเด็กมากขึ้นซึ่งเด็กนี้ไม่สามารถที่จะแยกแยะออกได้ว่าสิ่งใดควรหรือไม่ควร และทั้งนี้ที่น่าเป็นห่วงคือผู้ใหญ่ขาดความรู้ที่จะแนะนำเด็กให้ใช้เทคโนโลยีที่ถูกต้อง จึงเป็นปัญหาที่เกิดขึนในสังคมมากขึ้น
ทิวา อัมพเศวต
มรภ.สวนดุสิต ศูนย์จรัลสนิทวงศ์
http://www.siamrath.co.th/UIFont/NewsDetail.aspx?cid=56&nid=18954
ปัจจุบันโลกของเทคโนโลยีสมัยใหม่ เข้ามามีบทบาทในสังคมไทย ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ ทุกเพศ ทุกวัย จนอาจกล่าวได้ว่าเทคโนโลยีเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันไปแล้ว นั่นอาจหมายถึง คอมพิวเตอร์ และโทรศัพท์มือถือ ซึ่งหากใช้อย่างสร้างสรรค์ก็จะเป็นประโยชน์กับผู้ใช้ ทั้งด้านการศึกษาและการเรียนรู้ ตลอดจนการค้นหาความบันเทิงในรูปแบบต่างๆ บนโลกอินเตอร์เน็ต
แต่ที่น่าเป็นห่วง คือเด็กและเยาวชนบางส่วนยังไม่สามารถแยกแยะได้ว่า สิ่งไหนดีสิ่งไหนไม่ดี เพราะบนโลกอินเตอร์เน็ต ที่มีความหลากหลายชวนให้ค้นหานั้น นอกจากจะให้ความรู้และคุณประโยชน์แล้ว ยังแฝงไว้ด้วยภัยหรืออันตรายแก่ผู้ใช้ หากรู้ไม่เท่าทัน
มีผู้ปกครองหลายคนอาจยังไม่เข้าใจ หรือยังไม่ทราบถึงภัยอันตรายต่างๆ ที่แฝงมากับโลกอินเตอร์เน็ต ตัวอย่างเช่นเด็กอาจพบเจอข้อความที่มีเนื้อหาส่อไปในทางลามก อนาจาร ที่อยู่ในสื่อโฆษณาต่างๆ บนเว็บไซต์นั้น
นอกจากนี้ยังมีเว็บไซต์การพนัน ที่แฝงมากับเกมออนไลน์ เปิดให้บริการโดยอาศัยช่องว่างของกฎหมาย คือเป็นการเล่นพนันในลักษณะสะสมแต้ม เพื่อแลกรับของรางวัล หรือการซ่อนของรางวัลไว้ในบางจุดของเกม ซึ่งหากผู้เล่นหาเจอก็สามารถเข้าไปรับของรางวัลนั้นได้ที่บริษัท
มีงานวิจัยหลายชิ้น ระบุว่า พ่อแม่ซึ่งเป็นผู้ใกล้ชิดกับเด็กมากที่สุด ไม่มีความรู้เกี่ยวกับการใช้อินเตอร์เน็ตของลูกมากนัก จากการสำรวจพ่อแม่ 300 ราย ที่มีลูกใช้อินเตอร์เน็ต ร้อยละ 40 ตอบว่า ไม่เคยตรวจสอบการสอบใช้อินเตอร์เน็ตของลูก มีเพียงร้อยละ 24 เท่านั้นที่ตรวจสอบอย่างใกล้ชิด ในขณะที่อีกร้อยละ 26 ตอบว่าไม่ทราบจะตรวจสอบอย่างไร
จากผลการสำรวจ ทำให้ทราบว่า พ่อแม่สื่อสารกับลูกน้อยมากในเรื่องการใช้อินเตอร์เน็ต ซึ่งช่องว่างนี้อาจเรียกได้ว่า เป็นทั้งช่องว่างระหว่างวัยและความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
ปัญหาการล่อลวงผ่านอินเตอร์เน็ต หรือที่รู้จักกัน “Chat room” เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่มีแนวโน้มว่าจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ หากไม่ได้รับการป้องกันและปราบปราม อย่างจริงจังจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งครอบครัว พ่อแม่ ผู้ปกครองควรดูแลเอาใจใส่บุตรหลานอย่างใกล้ชิด ไม่ใช่วัวหายแล้วมาล้อมคอกทีหลัง อย่างที่เคยเป็นข่าวอยู่บ่อยครั้ง
ปัญหานี้ไม่ใช่ปัญหาใหม่เพิ่งเกิด แต่เป็นมานานและสะท้อนให้เห็นถึงภัยที่แอบแฝงกับเทคโนโลยีไร้พรมแดน สถานการณ์ของสังคมไทยในภาวะขาลงแต่อันตรายมากขึ้นโดยเฉพาะกับเด็กและเยาวชนที่เป็นกำลังสำคัญของชาติ
คงไม่ใช่ภาระหรือหน้าที่ของใครโดยเฉพาะ แต่เป็นทุกฝ่ายที่ต้องร่วมมือกัน ทั้งภาครัฐและเอกชน สถาบันการศึกษา สำคัญที่สุดคือสถาบันครอบครัว ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของทั้งความคิดแลการกระทำ
เพราะอนาคตของชาติ คงไม่ใช่ใครที่ไหน ลูกหลานของเรานั่นเอง
อนาคตของเด็กไทยในยุคการสื่อสารไร้พรมแดน ในปัจจุบันเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในสังคมมากขึ้นทั้งที่เกิดขึ้นกับเด็กผู้ใหญ่แต่สิ่งที่เป็นปัญหาคือมันเข้ามามีบทบาทขึ้นกับเด็กมากขึ้นซึ่งเด็กนี้ไม่สามารถที่จะแยกแยะออกได้ว่าสิ่งใดควรหรือไม่ควร และทั้งนี้ที่น่าเป็นห่วงคือผู้ใหญ่ขาดความรู้ที่จะแนะนำเด็กให้ใช้เทคโนโลยีที่ถูกต้อง จึงเป็นปัญหาที่เกิดขึนในสังคมมากขึ้น
ทิวา อัมพเศวต
มรภ.สวนดุสิต ศูนย์จรัลสนิทวงศ์
http://www.siamrath.co.th/UIFont/NewsDetail.aspx?cid=56&nid=18954
สถาปัตยกรรมคอมพิวเตอร์
สถาปัตยกรรมคอมพิวเตอร์ เป็นทฤษฎีที่อยู่ฉากหลังของการออกแบบคอมพิวเตอร์ โดยทั่วไปหมายถึง การออกแบบ
โครงสร้างของหน่วยประมวลผลกลาง (ซึ่งก็คือ การออกแบบจำนวนรีจิสเตอร์ที่จำเป็น และหน้าที่ที่จำเป็นของ หน่วยควบคุมกับหน่วยประมวลผลตัวเลข)
ชุดของคำสั่งเครื่อง และการอ้างหน่วยความจำ
เทคนิคอื่นๆ เช่น การประมวลผลแบบไปป์ไลน์
ประเภทของสถาปัตยกรรมการประมวลผลแบบขนาน ของโปรเซสเซอร์
SISD (Single Instruction Single Data stream) คือ โปรเซสเซอร์ ที่ใช้การประมวลผลด้วยชุดข้อมูลเพียงชุดเดียว และ ทำงานด้วยคำสั่งเดียว ภายใน 1 สัญญาณนาฬิกา
MISD (Multiple Instruction Single Data stream) คือ โปรเซสเซอร์ ที่ใช้การประมวลผลด้วยชุดข้อมูลเพียงชุดเดียว แต่ทำงานด้วยได้หลายคำสั่ง ภายใน 1 สัญญาณนาฬิกา มักจะไม่ค่อยมีใครพัฒนาโปรเซสเซอร์แบบนี้
SIMD (Single Instruction Multiple Data stream) คือ โปรเซสเซอร์ที่ใช้การประมวลผลด้วยชุดข้อมูลหลายชุด แต่ทำงานด้วยคำสั่งเดียว ภายใน 1 สัญญาณนาฬิกา และได้ผลลัพธ์หลายชุด ใช้ในโปรเซสเซอร์แบบ Pentium MMX
MIMD (Multiple Instruction Multiple Data stream) คือ โปรเซสเซอร์ที่ใช้การประมวลผลด้วยชุดข้อมูลหลายชุด และทำงานด้วยได้หลายคำสั่ง ภายใน 1 สัญญาณนาฬิกา
RISC (Reduced Instruction- Set Computing หรือชิปที่มีการลดทอนคำสั่ง) คือ โปรเซสเซอร์ที่มีชุดคำสั่งที่มีรูปแบบและขนาดที่แน่นอน สามารถประมวลผลได้ภายใน 1 สัญญาณนาฬิกา การอ้างอิงหน่วยความจำจะใช้คำสั่ง Load และ Store ที่สามารถอ้างอิงหน่วยความจำได้โดยตรงเท่านั้น ใช้การอ้างตำแหน่งแบบตรงๆ ง่ายโดยมีรูปแบบจำกัดอยู่ 2 แบบ คือ 1.แบบอ้างผ่าน Register ( Register Indirect ) Register จะเก็บค่าตำแหน่งไว้ แล้ว ทำการอ้างตำแหน่งนั้นๆผ่าน Register 2.ในแบบ Index จะเป็นการอ้างตำแหน่งจากค่าคงที่ที่มาในคำสั่งนั้นๆเลย
CISC (Complex Instruction-Set Computing) คือสถาปัตยกรรมของโปรเซสเซอร์ ที่ใช้คำสั่งซับซ้อนที่มีความยาวเปลี่ยนไปตามชนิดของคำสั่ง มีคำสั่งให้ใช้งานมากมาย ทำให้เขียนโปรแกรมง่าย และโปรแกรมมีขนาดเล็ก การทำงานของคำสั่งจะใช้ Microcode โดยคงความเข้ากันได้กับโปรเซสเซอร์รุ่นเก่า ทำให้ไม่ต้องเขียนโปรแกรมใหม่
SMP (Symmetric MultiProcessing) คือสถาปัตยกรรมของการใช้โปรเซสเซอร์ หลายตัว ที่ใช้ทรัพยากรของระบบเช่น บัส หน่วยความจำ I/O ร่วมกัน ไม่สามารถแบ่งเป็น partition ย่อยๆได้ และสมรรถนะของระบบจะลดลงเมื่อใช้โปรเซสเซอร์ มากกว่า 8 ตัว ความสามารถในการขยายสเกลยังจำกัด แต่สามารถใช้โปรแกรมแบบเดิมได้ไม่ต้องเขียนขึ้นใหม่
จากการอ่านเรื่องสถาปัตยกรรมคอมพิวเตอร์สรุปได้ว่า เป็นการออกแบบโคร้าวสร้างของหน่วยประมวลผลกลาง
อ้างอิง
Hennessy and Patterson (2006). Computer Architecture: A Quantitative Approach (Fourth Edition ed.). Morgan Kaufmann. ISBN 978-0-12-370490-0.
Tanenbaum, Andrew S. (1979). Structured Computer Organization. Englewood Cliffs, New Jersey: Prentice-Hall. ISBN 0-13-148521-0
สถาปัตยกรรมคอมพิวเตอร์ เป็นทฤษฎีที่อยู่ฉากหลังของการออกแบบคอมพิวเตอร์ โดยทั่วไปหมายถึง การออกแบบ
โครงสร้างของหน่วยประมวลผลกลาง (ซึ่งก็คือ การออกแบบจำนวนรีจิสเตอร์ที่จำเป็น และหน้าที่ที่จำเป็นของ หน่วยควบคุมกับหน่วยประมวลผลตัวเลข)
ชุดของคำสั่งเครื่อง และการอ้างหน่วยความจำ
เทคนิคอื่นๆ เช่น การประมวลผลแบบไปป์ไลน์
ประเภทของสถาปัตยกรรมการประมวลผลแบบขนาน ของโปรเซสเซอร์
SISD (Single Instruction Single Data stream) คือ โปรเซสเซอร์ ที่ใช้การประมวลผลด้วยชุดข้อมูลเพียงชุดเดียว และ ทำงานด้วยคำสั่งเดียว ภายใน 1 สัญญาณนาฬิกา
MISD (Multiple Instruction Single Data stream) คือ โปรเซสเซอร์ ที่ใช้การประมวลผลด้วยชุดข้อมูลเพียงชุดเดียว แต่ทำงานด้วยได้หลายคำสั่ง ภายใน 1 สัญญาณนาฬิกา มักจะไม่ค่อยมีใครพัฒนาโปรเซสเซอร์แบบนี้
SIMD (Single Instruction Multiple Data stream) คือ โปรเซสเซอร์ที่ใช้การประมวลผลด้วยชุดข้อมูลหลายชุด แต่ทำงานด้วยคำสั่งเดียว ภายใน 1 สัญญาณนาฬิกา และได้ผลลัพธ์หลายชุด ใช้ในโปรเซสเซอร์แบบ Pentium MMX
MIMD (Multiple Instruction Multiple Data stream) คือ โปรเซสเซอร์ที่ใช้การประมวลผลด้วยชุดข้อมูลหลายชุด และทำงานด้วยได้หลายคำสั่ง ภายใน 1 สัญญาณนาฬิกา
RISC (Reduced Instruction- Set Computing หรือชิปที่มีการลดทอนคำสั่ง) คือ โปรเซสเซอร์ที่มีชุดคำสั่งที่มีรูปแบบและขนาดที่แน่นอน สามารถประมวลผลได้ภายใน 1 สัญญาณนาฬิกา การอ้างอิงหน่วยความจำจะใช้คำสั่ง Load และ Store ที่สามารถอ้างอิงหน่วยความจำได้โดยตรงเท่านั้น ใช้การอ้างตำแหน่งแบบตรงๆ ง่ายโดยมีรูปแบบจำกัดอยู่ 2 แบบ คือ 1.แบบอ้างผ่าน Register ( Register Indirect ) Register จะเก็บค่าตำแหน่งไว้ แล้ว ทำการอ้างตำแหน่งนั้นๆผ่าน Register 2.ในแบบ Index จะเป็นการอ้างตำแหน่งจากค่าคงที่ที่มาในคำสั่งนั้นๆเลย
CISC (Complex Instruction-Set Computing) คือสถาปัตยกรรมของโปรเซสเซอร์ ที่ใช้คำสั่งซับซ้อนที่มีความยาวเปลี่ยนไปตามชนิดของคำสั่ง มีคำสั่งให้ใช้งานมากมาย ทำให้เขียนโปรแกรมง่าย และโปรแกรมมีขนาดเล็ก การทำงานของคำสั่งจะใช้ Microcode โดยคงความเข้ากันได้กับโปรเซสเซอร์รุ่นเก่า ทำให้ไม่ต้องเขียนโปรแกรมใหม่
SMP (Symmetric MultiProcessing) คือสถาปัตยกรรมของการใช้โปรเซสเซอร์ หลายตัว ที่ใช้ทรัพยากรของระบบเช่น บัส หน่วยความจำ I/O ร่วมกัน ไม่สามารถแบ่งเป็น partition ย่อยๆได้ และสมรรถนะของระบบจะลดลงเมื่อใช้โปรเซสเซอร์ มากกว่า 8 ตัว ความสามารถในการขยายสเกลยังจำกัด แต่สามารถใช้โปรแกรมแบบเดิมได้ไม่ต้องเขียนขึ้นใหม่
จากการอ่านเรื่องสถาปัตยกรรมคอมพิวเตอร์สรุปได้ว่า เป็นการออกแบบโคร้าวสร้างของหน่วยประมวลผลกลาง
อ้างอิง
Hennessy and Patterson (2006). Computer Architecture: A Quantitative Approach (Fourth Edition ed.). Morgan Kaufmann. ISBN 978-0-12-370490-0.
Tanenbaum, Andrew S. (1979). Structured Computer Organization. Englewood Cliffs, New Jersey: Prentice-Hall. ISBN 0-13-148521-0
โน้ตบุ๊ค (notebook or laptop)
โน้ตบุ๊ค คือ คอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็กกว่าไมโครคอมพิวเตอร์ ถูกออกแบบไว้เพื่อนำติดตัวไปใช้ตามที่ต่างๆ มีขนาดเล็ก และน้ำหนักเบา ในปัจจุบันมีขนาดพอๆกับสมุดที่ทำด้วยกระดาษ
[แก้] การทำงานของคอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์ในยุคแรกๆเช่น ENIAC เวลาโปรแกรมต้องใช้วิธีการเปลี่ยนสายเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ ซึ่งเป็นวิธีการที่ยุ่งยากมาก จึงเกิดแนวคิดว่าตัวโปรแกรมน่าจะจัดเก็บอยู่ในส่วนที่สามารถปรับเปลี่ยนแก้ไขได้ง่าย เป็นที่มาของแนวคิดที่ทำการจัดเก็บข้อมูลต่างๆรวมถึงโปรแกรมไว้ใน หน่วยความจำ หรือ memory ทำให้คอมพิวเตอร์จะได้รับคำสั่งโดยการอ่านคำสั่งจากหน่วยความจำ และการปรับเปลี่ยนโปรแกรมสามารถทำได้โดยการเปลี่ยนแปลงค่าภายในหน่วยความจำ
แนวคิดข้างต้นรู้จักในชื่อว่า "Stored-Program Concept" หรือ อีกชื่อว่าสถาปัตยกรรม von Neumann โดยเข้าใจว่า J. Presper Eckert และ John William Mauchly ซึ่งเป็นนักออกแบบ ENIAC เป็นผู้คิดค้นขึ้น
แนวคิดการทำงานแบบ Stored-Program ถูกใช้เป็นแนวคิดหลักของการทำงานในคอมพิวเตอร์จนถึงปัจจุบัน โดยแนวคิดนี้จะแบ่งการทำงานของคอมพิวเตอร์เป็น 4 ส่วนหลักได้แก่
หน่วยประมวลผลในรูปแบบข้อมูล Binary หรือที่เรียกว่า Arithmetic-Logical Unit (ALU) เป็นการทำงานโดยเลขฐาน 2 เปรียบเสมือนหัวใจของคอมพิวเตอร์ หน้าที่หลักของมันคือทำการประมวลผลทางคณิตศาสตร์ขั้นพื้นฐานอันได้แก่การบวกและลบ และการทำการเปรียบเทียบข้อมูลสองข้อมูลว่ามีค่าเท่ากันหรือไม่ถ้าไม่จะมีค่ามากกว่าหรือน้อยกว่า
หน่วยความจำ หรือ Memory ใช้สำหรับเก็บข้อมูล (Data) และ คำสั่ง (Instructions) โดยข้อมูลภายในหน่วยความจำจะถูกแบ่งเป็นส่วนๆเล็กๆเท่าๆกัน แต่ละส่วนมีที่อยู่ (address) เพื่อใช้เข้าถึงข้อมูลที่ถูกจัดเก็บเอาไว้
อุปกรณ์อินพุตและเอาต์พุต หรือ I/O Device เป็นส่วนที่ใช้นำข้อมูลจากโลกภายนอกเข้ามาภายในระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อนำมาประมวลผล และเมื่อได้ผลลัพธ์ก็จะนำข้อมูลที่ได้มาแสดงผลให้โลกภายนอกคอมพิวเตอร์ได้รับทราบ
หน่วยควบคุมการทำงาน หรือ Control Unit เป็นส่วนที่ใช้เชื่อมต่อแต่ละส่วนเข้าด้วยกัน หน้าที่หลักๆคือทำการอ่านข้อมูลคำสั่งที่อยู่ภายในหน่วยความจำหรือที่ได้จากอุปกรณ์อินพุต ทำการแปลความหมายและส่งไปประมวลผลใน ALU จากนั้นนำผลที่ได้ไปจัดเก็บในหน่วยความจำหรืออุปกรณ์เอาต์พุต หน้าที่หลักอีกประการ คือควบคุมลำดับการทำงานของแต่ละขั้นตอนให้อยู่ในเวลาที่เหมาะสม
[แก้] หน่วยประมวลผล
การทำงานของหน่วยประมวลผลกลาง หน่วยประมวลผล จะรับคำสั่งและข้อมูลจากหน่วยความจำ โดยส่งเข้าที่ Queue Prefetch Unit จะตรวจสอบว่า ค่าใน Queue เป็นคำสั่งหรือไม่ ถ้าเป็นคำสั่งจะสั่งให้ Bus Interface Unit (BIU) ส่งค่าของคำสั่งไปที่ Decode Unit ถ้าเป็นค่าที่อยู่ (Address) ของหน่วยความจำ จะถูกส่งไปที่ Segment and Paging Unit Segment and Paging Unit จะแปลงที่อยู่ของหน่วยความจำ จากที่อยู่เสมือน (Virtual Address) ในรูปแบบของ segment : offset ให้กลายเป็นที่อยู่จริง (Physical Address) ที่ Bus Interface Unit เข้าใจ หน่วยถอดรหัส (Decode Unit) จะตรวจสอบและแยกแยะคำสั่ง แล้วแปลคำสั่ง และส่งสัญญาณควบคุมไปให้ Execution Unit ทำงานตามคำสั่งนั้นใน Execution Unit จะประกอบด้วย
Control Unit (CU) จะทำหน้าที่ควบคุมการทำงานภายในโปรเซสเซอร์เป็นตัวสั่งงาน Unit อื่นๆตามคำสั่งที่แปลจาก Decode Unit Protection Test Unit จะป้องกันและตรวจสอบการทำงานของส่วนต่างๆ ไม่ให้ทำผิดกฏเกณฑ์ จนเกิดข้อผิดพลาดขึ้น Register จะทำหน้าที่เก็บค่าชั่วคราวก่อนและหลังการประมวลเพื่อส่งให้ส่วนอื่นๆต่อไป เป็นเหมือนกระดาษทดชัว่คราว สำหรับ ALU Arithmetic Logic Unit (ALU) เป็นส่วนการคำนวณทางคณิตศาสตร์และหาค่าตรรกะของการเปรียบเทียบ
เมื่อ ALU คำนวณหรือเปรียบเทียบค่าเรียบร้อยแล้ว จะส่งไปเก็บไว้ที่ Register แล้ว Control Unit จะสั่งให้ BIU เก็บค่าผลลัพธ์ลงในหน่วยความจำ โดยแปลงที่อยู่เสมือนที่ Control Unit กำหนด ให้กลายเป็น ที่อยู่จริงของหน่วยความจำที่จะนำผลลัพธ์ไปเก็บไว้
[แก้] หน่วยความจำ
หน่วยความจำเป็นพื้นที่การทำงานและเป็นพื้นที่การจัดเก็บข้อมูลของคอมพิวเตอร์ เพราะคอมพิวเตอร์ไม่สามารถทำงานตามลำพังโดยอาศัยเพียงหน่วยประมวลผลหลักได้ หน่วยความจำแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ หน่วยความจำชั่วคราว หรือ หน่วยความจำสำรอง คือ แรม (RAM: Random Access Memory) โดยแรมจะเป็นหน่วยความจำที่ใช้ขณะคอมพิวเตอร์ทำงาน และจะหายไปเมื่อปิดเครื่อง อีกชนิดหนึ่งคือหน่วยความจำถาวร หรือหน่วยความจำหลัก ได้แก่ ฮาร์ดดิสก์ (Hard Disk) ที่ใช้ในการเก็บข้อมูล และ รอม (ROM: Read Only Memory) ที่ใช้ในการเก็บค่าไบออส หน่วยความจำถาวรจะใช้ในการเก็บข้อมูลของเครื่องคอมพิวเตอร์และจะไม่สูญหายเมื่อปิดเครื่อง
[แก้] ตัวอย่างประโยชน์ของคอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์มีประโยชน์กับเรามากมาย เช่น
การใช้งานภาครัฐ งานทะเบียนราษฎร์ของรัฐบาล เช่น การแจ้งเกิด ตาย ย้ายที่อยู่ การทำบัตรประจำตัวประชาชน งานภาษี เช่น ยื่นแบบประเมินภาษีภาษีผ่านอินเทอร์เน็ต เก็บทะเบียนประวัติผู้เสียภาษี ตรวจสอบการเสียภาษี
งานสายการบิน การสำรองที่นั่งผู้โดยสาร การลดงานเอกสาร
ทางด้านการศึกษา สื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอน การเรียนออนไลน์ให้กับผู้เรียนที่อยู่ห่างไกล
ธุรกิจการนำเข้าสินค้าและส่งออก การทำธุรกิจแบบพานิชอิเล็กทรอนิกส์
ธุรกิจธนาคาร ช่วยด้านงานข้อมูลธนาคาร รับ-จ่ายเงิน เก็บประวัติลูกค้า ธนาคารอิเล็กทรอนิกส์ การทำธุรกรรมผ่านโทรศัพท์มือถือ
วิทยาศาสตร์และการแพทย์ การเก็บข้อมูลเกี่ยวกับประวัติการรักษาของคนไข้ วิจัย คำนวณ และ การจำลองแบบ
งานสถาปนิก ช่วยออกแบบ เขียนแบบ หรือทำแบบจำลองสามมิติ
งานภาพยนตร์ การ์ตูน แอนิเมชั่น ช่วยสร้างตัวการ์ตูนเคลื่อนไหว ออกแบบตัวการ์ตูน จำลองตัวการ์ตูนสามมิติ การตัดต่อภาพยนตร์
งานด้านสถิติ ช่วยเก็บบันทึกข้อมูล วิเคราะห์ จำลองแบบข้อมูล และการเผยแพร่ข้อมูล
ด้านสันทนาการ ช่วยให้ความบันเทิง ดูหนัง ฟังเพลง ร้องคาราโอเกะ เล่นเกมส์
จากการอ่านเกี่วกับโน๊ตบุ๊คพบว่า
โน๊ตบุ๊ค เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็กที่สุดซึ่งสามารถพกพาไปไหนต่อไหนได้สะดวกสบายสามารถพกพาไปได้ทุกที่และสามาถรทำงานได้สะดวกทุกที่
[แก้] อ้างอิง
^ Government unveils world's fastest computer จากซีเอ็นเอ็น
^ ศัพท์ที่ราชบัณฑิตยสถานบัญญัติและไม่ได้บัญญัติ (๒) โดย รศ. ดร.นิตยา กาญจนะวรรณ
^ ศัพท์วิทยาศาสตร์ราชมงคล
โน้ตบุ๊ค คือ คอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็กกว่าไมโครคอมพิวเตอร์ ถูกออกแบบไว้เพื่อนำติดตัวไปใช้ตามที่ต่างๆ มีขนาดเล็ก และน้ำหนักเบา ในปัจจุบันมีขนาดพอๆกับสมุดที่ทำด้วยกระดาษ
[แก้] การทำงานของคอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์ในยุคแรกๆเช่น ENIAC เวลาโปรแกรมต้องใช้วิธีการเปลี่ยนสายเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ ซึ่งเป็นวิธีการที่ยุ่งยากมาก จึงเกิดแนวคิดว่าตัวโปรแกรมน่าจะจัดเก็บอยู่ในส่วนที่สามารถปรับเปลี่ยนแก้ไขได้ง่าย เป็นที่มาของแนวคิดที่ทำการจัดเก็บข้อมูลต่างๆรวมถึงโปรแกรมไว้ใน หน่วยความจำ หรือ memory ทำให้คอมพิวเตอร์จะได้รับคำสั่งโดยการอ่านคำสั่งจากหน่วยความจำ และการปรับเปลี่ยนโปรแกรมสามารถทำได้โดยการเปลี่ยนแปลงค่าภายในหน่วยความจำ
แนวคิดข้างต้นรู้จักในชื่อว่า "Stored-Program Concept" หรือ อีกชื่อว่าสถาปัตยกรรม von Neumann โดยเข้าใจว่า J. Presper Eckert และ John William Mauchly ซึ่งเป็นนักออกแบบ ENIAC เป็นผู้คิดค้นขึ้น
แนวคิดการทำงานแบบ Stored-Program ถูกใช้เป็นแนวคิดหลักของการทำงานในคอมพิวเตอร์จนถึงปัจจุบัน โดยแนวคิดนี้จะแบ่งการทำงานของคอมพิวเตอร์เป็น 4 ส่วนหลักได้แก่
หน่วยประมวลผลในรูปแบบข้อมูล Binary หรือที่เรียกว่า Arithmetic-Logical Unit (ALU) เป็นการทำงานโดยเลขฐาน 2 เปรียบเสมือนหัวใจของคอมพิวเตอร์ หน้าที่หลักของมันคือทำการประมวลผลทางคณิตศาสตร์ขั้นพื้นฐานอันได้แก่การบวกและลบ และการทำการเปรียบเทียบข้อมูลสองข้อมูลว่ามีค่าเท่ากันหรือไม่ถ้าไม่จะมีค่ามากกว่าหรือน้อยกว่า
หน่วยความจำ หรือ Memory ใช้สำหรับเก็บข้อมูล (Data) และ คำสั่ง (Instructions) โดยข้อมูลภายในหน่วยความจำจะถูกแบ่งเป็นส่วนๆเล็กๆเท่าๆกัน แต่ละส่วนมีที่อยู่ (address) เพื่อใช้เข้าถึงข้อมูลที่ถูกจัดเก็บเอาไว้
อุปกรณ์อินพุตและเอาต์พุต หรือ I/O Device เป็นส่วนที่ใช้นำข้อมูลจากโลกภายนอกเข้ามาภายในระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อนำมาประมวลผล และเมื่อได้ผลลัพธ์ก็จะนำข้อมูลที่ได้มาแสดงผลให้โลกภายนอกคอมพิวเตอร์ได้รับทราบ
หน่วยควบคุมการทำงาน หรือ Control Unit เป็นส่วนที่ใช้เชื่อมต่อแต่ละส่วนเข้าด้วยกัน หน้าที่หลักๆคือทำการอ่านข้อมูลคำสั่งที่อยู่ภายในหน่วยความจำหรือที่ได้จากอุปกรณ์อินพุต ทำการแปลความหมายและส่งไปประมวลผลใน ALU จากนั้นนำผลที่ได้ไปจัดเก็บในหน่วยความจำหรืออุปกรณ์เอาต์พุต หน้าที่หลักอีกประการ คือควบคุมลำดับการทำงานของแต่ละขั้นตอนให้อยู่ในเวลาที่เหมาะสม
[แก้] หน่วยประมวลผล
การทำงานของหน่วยประมวลผลกลาง หน่วยประมวลผล จะรับคำสั่งและข้อมูลจากหน่วยความจำ โดยส่งเข้าที่ Queue Prefetch Unit จะตรวจสอบว่า ค่าใน Queue เป็นคำสั่งหรือไม่ ถ้าเป็นคำสั่งจะสั่งให้ Bus Interface Unit (BIU) ส่งค่าของคำสั่งไปที่ Decode Unit ถ้าเป็นค่าที่อยู่ (Address) ของหน่วยความจำ จะถูกส่งไปที่ Segment and Paging Unit Segment and Paging Unit จะแปลงที่อยู่ของหน่วยความจำ จากที่อยู่เสมือน (Virtual Address) ในรูปแบบของ segment : offset ให้กลายเป็นที่อยู่จริง (Physical Address) ที่ Bus Interface Unit เข้าใจ หน่วยถอดรหัส (Decode Unit) จะตรวจสอบและแยกแยะคำสั่ง แล้วแปลคำสั่ง และส่งสัญญาณควบคุมไปให้ Execution Unit ทำงานตามคำสั่งนั้นใน Execution Unit จะประกอบด้วย
Control Unit (CU) จะทำหน้าที่ควบคุมการทำงานภายในโปรเซสเซอร์เป็นตัวสั่งงาน Unit อื่นๆตามคำสั่งที่แปลจาก Decode Unit Protection Test Unit จะป้องกันและตรวจสอบการทำงานของส่วนต่างๆ ไม่ให้ทำผิดกฏเกณฑ์ จนเกิดข้อผิดพลาดขึ้น Register จะทำหน้าที่เก็บค่าชั่วคราวก่อนและหลังการประมวลเพื่อส่งให้ส่วนอื่นๆต่อไป เป็นเหมือนกระดาษทดชัว่คราว สำหรับ ALU Arithmetic Logic Unit (ALU) เป็นส่วนการคำนวณทางคณิตศาสตร์และหาค่าตรรกะของการเปรียบเทียบ
เมื่อ ALU คำนวณหรือเปรียบเทียบค่าเรียบร้อยแล้ว จะส่งไปเก็บไว้ที่ Register แล้ว Control Unit จะสั่งให้ BIU เก็บค่าผลลัพธ์ลงในหน่วยความจำ โดยแปลงที่อยู่เสมือนที่ Control Unit กำหนด ให้กลายเป็น ที่อยู่จริงของหน่วยความจำที่จะนำผลลัพธ์ไปเก็บไว้
[แก้] หน่วยความจำ
หน่วยความจำเป็นพื้นที่การทำงานและเป็นพื้นที่การจัดเก็บข้อมูลของคอมพิวเตอร์ เพราะคอมพิวเตอร์ไม่สามารถทำงานตามลำพังโดยอาศัยเพียงหน่วยประมวลผลหลักได้ หน่วยความจำแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ หน่วยความจำชั่วคราว หรือ หน่วยความจำสำรอง คือ แรม (RAM: Random Access Memory) โดยแรมจะเป็นหน่วยความจำที่ใช้ขณะคอมพิวเตอร์ทำงาน และจะหายไปเมื่อปิดเครื่อง อีกชนิดหนึ่งคือหน่วยความจำถาวร หรือหน่วยความจำหลัก ได้แก่ ฮาร์ดดิสก์ (Hard Disk) ที่ใช้ในการเก็บข้อมูล และ รอม (ROM: Read Only Memory) ที่ใช้ในการเก็บค่าไบออส หน่วยความจำถาวรจะใช้ในการเก็บข้อมูลของเครื่องคอมพิวเตอร์และจะไม่สูญหายเมื่อปิดเครื่อง
[แก้] ตัวอย่างประโยชน์ของคอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์มีประโยชน์กับเรามากมาย เช่น
การใช้งานภาครัฐ งานทะเบียนราษฎร์ของรัฐบาล เช่น การแจ้งเกิด ตาย ย้ายที่อยู่ การทำบัตรประจำตัวประชาชน งานภาษี เช่น ยื่นแบบประเมินภาษีภาษีผ่านอินเทอร์เน็ต เก็บทะเบียนประวัติผู้เสียภาษี ตรวจสอบการเสียภาษี
งานสายการบิน การสำรองที่นั่งผู้โดยสาร การลดงานเอกสาร
ทางด้านการศึกษา สื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอน การเรียนออนไลน์ให้กับผู้เรียนที่อยู่ห่างไกล
ธุรกิจการนำเข้าสินค้าและส่งออก การทำธุรกิจแบบพานิชอิเล็กทรอนิกส์
ธุรกิจธนาคาร ช่วยด้านงานข้อมูลธนาคาร รับ-จ่ายเงิน เก็บประวัติลูกค้า ธนาคารอิเล็กทรอนิกส์ การทำธุรกรรมผ่านโทรศัพท์มือถือ
วิทยาศาสตร์และการแพทย์ การเก็บข้อมูลเกี่ยวกับประวัติการรักษาของคนไข้ วิจัย คำนวณ และ การจำลองแบบ
งานสถาปนิก ช่วยออกแบบ เขียนแบบ หรือทำแบบจำลองสามมิติ
งานภาพยนตร์ การ์ตูน แอนิเมชั่น ช่วยสร้างตัวการ์ตูนเคลื่อนไหว ออกแบบตัวการ์ตูน จำลองตัวการ์ตูนสามมิติ การตัดต่อภาพยนตร์
งานด้านสถิติ ช่วยเก็บบันทึกข้อมูล วิเคราะห์ จำลองแบบข้อมูล และการเผยแพร่ข้อมูล
ด้านสันทนาการ ช่วยให้ความบันเทิง ดูหนัง ฟังเพลง ร้องคาราโอเกะ เล่นเกมส์
จากการอ่านเกี่วกับโน๊ตบุ๊คพบว่า
โน๊ตบุ๊ค เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็กที่สุดซึ่งสามารถพกพาไปไหนต่อไหนได้สะดวกสบายสามารถพกพาไปได้ทุกที่และสามาถรทำงานได้สะดวกทุกที่
[แก้] อ้างอิง
^ Government unveils world's fastest computer จากซีเอ็นเอ็น
^ ศัพท์ที่ราชบัณฑิตยสถานบัญญัติและไม่ได้บัญญัติ (๒) โดย รศ. ดร.นิตยา กาญจนะวรรณ
^ ศัพท์วิทยาศาสตร์ราชมงคล
สวิตซ์
สวิตซ์ มีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด คือ Layer-2 Switch และ Layer-3 Switch ดังรายละเอียดต่อไปนี้
Layer-2 Switch หรือ L2 Switch ก็คือ Bridge แต่เป็น Bridge ที่มี Interface ในการเชื่อมต่อกับ Segment มากขึ้น ทำให้สามารถแบ่งเครือข่าย LAN ออกเป็น Segment ย่อย ๆ เพื่อประโยชน์ในการบริหารจัดการเครือข่ายได้ดียิ่งขึ้น และประสิทธิภาพในการทำงานของ L2 Switch ก็สูงกว่า Bridge ทำให้ในปัจจุบันนิยมใช้งาน L2 Switch แทน Bridge
Layer-3 Switch หรือ L3 Switch ก็คือ Router ที่ได้รับการปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น แต่มีราคาถูกลง โดย L3 Switch นี้จะสามารถจัดการกับเครือข่ายที่มี Segment มาก ๆ ได้ดีกว่า Router
- เกตเวย์ (Gateway)
เกตเวย์ เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อเครือข่ายต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ไม่ว่าเครือข่ายนั้นจะใช้โปรโตคอลตัวใดก็ตามเนื่องจากว่า Gateway สามารถแปลงรูปแบบแพ็คเก็ตของโปรโตคอลหนึ่งไปเป็นรูปแบบของอีกโปรโตคอลหนึ่ง เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานในเครือข่ายได้ เช่น แปลงรูปแบบแพ็คเก็ตของ TCP/IP ไปเป็น Apple Talk เป็นต้น ทำให้สามารถเชื่อมต่อกับเครือข่ายอื่น ๆ ได้อย่างไม่มีข้อจำกัดแต่ในปัจจุบันนี้ได้รวมการทำงานของ Gateway ไว้ใน Router แล้ว ทำให้ Router สามารถทำงานเป็น Gateway ได้จึงไม่จำเป็นต้องซื้ออุปกรณ์ตัวนี้อีกแล้ว
สวิตซ์ มีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด คือ Layer-2 Switch และ Layer-3 Switch ดังรายละเอียดต่อไปนี้
Layer-2 Switch หรือ L2 Switch ก็คือ Bridge แต่เป็น Bridge ที่มี Interface ในการเชื่อมต่อกับ Segment มากขึ้น ทำให้สามารถแบ่งเครือข่าย LAN ออกเป็น Segment ย่อย ๆ เพื่อประโยชน์ในการบริหารจัดการเครือข่ายได้ดียิ่งขึ้น และประสิทธิภาพในการทำงานของ L2 Switch ก็สูงกว่า Bridge ทำให้ในปัจจุบันนิยมใช้งาน L2 Switch แทน Bridge
Layer-3 Switch หรือ L3 Switch ก็คือ Router ที่ได้รับการปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น แต่มีราคาถูกลง โดย L3 Switch นี้จะสามารถจัดการกับเครือข่ายที่มี Segment มาก ๆ ได้ดีกว่า Router
- เกตเวย์ (Gateway)
เกตเวย์ เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อเครือข่ายต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ไม่ว่าเครือข่ายนั้นจะใช้โปรโตคอลตัวใดก็ตามเนื่องจากว่า Gateway สามารถแปลงรูปแบบแพ็คเก็ตของโปรโตคอลหนึ่งไปเป็นรูปแบบของอีกโปรโตคอลหนึ่ง เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานในเครือข่ายได้ เช่น แปลงรูปแบบแพ็คเก็ตของ TCP/IP ไปเป็น Apple Talk เป็นต้น ทำให้สามารถเชื่อมต่อกับเครือข่ายอื่น ๆ ได้อย่างไม่มีข้อจำกัดแต่ในปัจจุบันนี้ได้รวมการทำงานของ Gateway ไว้ใน Router แล้ว ทำให้ Router สามารถทำงานเป็น Gateway ได้จึงไม่จำเป็นต้องซื้ออุปกรณ์ตัวนี้อีกแล้ว
เทคโนโลยีการสื่อสาร
ไมโครคอมพิวเตอร์มีพัฒนาการมาจากการทดลองของนักอิเล็กทรอนิกส์สมัครเล่น ในยุคศตวรรษที่ 1970 ไมโครคอมพิวเตอร์มีขีดความสามารถที่จำกัด แต่ก็ท้าทายความสามารถ มีการประกอบเป็นคิตให้นักพัฒนานำไปสร้างเอง เช่น ไมโครคอมพิวเตอร์ยี่ห้อ MITS และ IMSAI เป็นต้น
รูปแบบของไมโครคอมพิวเตอร์เริ่มเด่นชัดปลายศตวรรษที่ 1970 เมื่อบริษัท แอปเปิ้ลคอมพิวเตอร์ ผลิตแอปเปิ้ลทู โดยมีเป้าหมายเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล และหลังจากนั้นในศตวรรษ 1980 ไอบีเอ็มก็เปิดศักราชของการใช้คอมพิวเตอร์ ส่วนบุคคล โดยเฉพาะมีโปรแกรมสำเร็จรูปออกมามากมายให้เลือกใช้งาน
ครั้นถึงยุคศตวรรษ 1990 พีซีมีบทบาทที่สำคัญยิ่งต่อชีวิตประจำวัน ขณะเดียวกันพัฒนาการทางพีซีทำให้ขีด ความสามารถเชิงการคำนวณสูงขึ้น มีการใช้ซีพียูที่เป็นไมโครโปรเซสเซอร์ในอุปกรณ์และงานอื่น ๆ มากมาย เมื่อพีซีมีขนาดจากที่วางอยู่บนโต๊ะ ลดขนาดลงมาวางอยู่ที่ตัก (แลบท็อป) และเล็กจนมีน้ำหนักเบาขนาดเท่ากับกระดาษ A4 ที่มีความหนาประมาณหนึ่งนิ้ว เรียกว่าโน้ตบุค และสับโน้ตบุค จนในที่สุดมีขนาดเล็กเป็นปาล์มท็อป และใส่กระเป๋าได้เรียกว่า พ็อกเก็ตคอมพิวเตอร์
การใช้คอมพิวเตอร์พีซียังต้องมีการพัฒนาเทคโนโลยีทางด้านเครือข่าย เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงการทำงาน การสร้างเครือข่ายแลนที่ต้องการอุปกรณ์สวิตช์และเราเตอร์ เพื่อให้ข้อมูลข่าวสารเดินทางไปถึงเป้าหมายได้ถูกต้องและรวดเร็ว หลังจาก ปี 1990 เป็นต้นมา พัฒนาการทางด้านอุปกรณ์เชื่อมโยงและเครือข่ายเป็นไปอย่างรวดเร็ว ขีดความสามารถในเรื่องการขนส่งข้อมูลจำนวนมาก และการคัดแยกหรือสวิตช์ข้อมูลเพิ่มความเร็วอย่างต่อเนื่อง ครือข่ายคอมพิวเตอร์มีรากฐานที่สำคัญมาจากเครือข่าย IP พัฒนาการทุกอย่างในขณะนี้จึงให้ความสำคัญที่จะวิ่งอยู่บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตนี้ แม้แต่เครือข่ายไร้สายอย่างเช่นโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่มีรากฐานมาจากโทรศัพท์เดิม
ความเป็นมาของโทรศัพท์เคลื่อนที่เซลลูลาร์
อเล็กซานเดอร์เกร แฮม เบล เป็นผู้วางรากฐานระบบโทรศัพท์ไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2419 หรือประมาณร้อยปีเศษแล้ว โทรศัพท์มีพัฒนาการค่อนข้างช้า เริ่มจากการสวิตช์ด้วยคน มาเป็นการใช้ระบบสวิตช์แบบอัตโนมัติด้วยกลไกทางแม่เหล็กไฟฟ้าจำพวกรีเลย์ จนในที่สุดเป็นระบบครอสบาร์
ครั้นเข้าสู่ยุคดิจิตอลอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ ระบบโทรศัพท์ที่ใช้ได้เปลี่ยนแปลงวิธีการสวิตช์มาเป็นแบบดิจิตอล มีการแปลงสัญญาณเสียงให้เป็นดิจิตอล โดยแถบเสียงขนาด 4 กิโลเฮิร์ทซ์ต่อวินาที ใช้อัตราสุ่ม 8,000 ครั้งต่อวินาที ได้สัญญาณดิจิตอลขนาด 64 กิโลบิตต่อวินาที แถบเสียงแบบดิจิตอลจึงเป็นข้อมูลที่มีการรับส่งกันมากที่สุดในโลกอยู่ขณะนี้
จนประมาณปี 1983 ระบบเซลลูลาร์เริ่มพัฒนาขึ้นใช้งาน ระบบแรกที่พัฒนามาใช้งานเรียกว่า ระบบ AMPS (Analog Advance Mobile Phone Service) ระบบดังกล่าวส่งสัญญาณไร้สายแบบอะนาล็อก โดยใช้คลื่นความถี่ที่ 824-894 เมกะเฮิร์ทซ์ โดยใช้หลักการแบ่งช่องทางความถี่หรือที่เรียกว่า FDMA - Frequency Division Multiple Access
ต่อมาประมาณปี 1990 กลุ่มผู้พัฒนาระบบเซลลูลาร์ได้พัฒนามาตรฐานใหม่โดยให้ชื่อว่า ระบบ GSM-Global System for Mobile Communication โดยเน้นระบบเชื่อมโยงติดต่อกันได้ทั่วโลก ระบบดังกล่าวนี้ใช้วิธีการเข้าถึงช่องสัญญาณด้วยระบบ TDMA-Time Division Multiple Access โดยใช้ความถี่ในการติดต่อกับสถานีเบสที่ 890-960 เมกะเฮิร์ทซ์
สำหรับในสหรัฐอเมริกาเองก็มีการพัฒนาระบบของตนขึ้นมาใช้ในปี 1991 โดยให้ชื่อว่า IS - 54 - Interim Standard - 54 ระบบดังกล่าวใช้วิธีการเข้าสู่ช่องสัญญาณด้วยระบบ TDMA เช่นกัน แต่ใช้ช่วงความถี่ 824-894 เมกะเฮิร์ทซ์ และในปี 1993 ก็ได้พัฒนาต่อเป็นระบบ IS-95 โดยใช้ระบบ CDMA ที่มีช่องความถี่มากขึ้นคือ 824-894 และ 1,850-1,980 เมกะเฮิร์ทซ์ ซึ่งเป็นระบบที่ใช้ร่วมกับระบบ AMPS เดิมได้
พัฒนาการของโทรศัพท์แบบเซลลูล่าร์แบ่งออกเป็นยุคตามรูปของการพัฒนาเทคโนโลยีได้ดังนี้
ยุค 1G เป็นยุคแรกของการพัฒนาระบบโทรศัพท์แบบเซลลูลาร์ การรับส่งสัญญาณใช้วิธีการมอดูเลตสัญญาณอะนาล็อกเข้าช่องสื่อสารโดยใช้การแบ่งความถี่ออกมาเป็นช่องเล็ก ๆ ด้วยวิธีการนี้มีข้อจำกัดในเรื่องจำนวนช่องสัญญาณ และการใช้ไม่เต็มประสิทธิภาพ จึงติดขัดเรื่องการขยายจำนวนเลขหมาย และการขยายแถบความถี่ ประจวบกับระบบเครื่องรับส่งสัญญาณวิทยุกำหนดขนาดของเซล และความแรงของสัญญาณเพื่อให้เข้าถึงสถานีเบสได้ ตัวเครื่องโทรศัพท์เซลลูลาร์ยังมีขนาดใหญ่ ใช้กำลังงานไฟฟ้ามาก ในภายหลังจึงเปลี่ยนมาเป็นระบบดิจิตอล และการเข้าช่องสัญญาณแบบแบ่งเวลา โทรศัพท์เคลื่อนที่แบบ 1G จึงใช้เฉพาะในยุคแรกเท่านั้น
ยุค 2G เป็นยุคที่พัฒนาต่อมาโดยการเข้ารหัสสัญญาณเสียง โดยบีบอัดสัญญาณเสียงในรูปแบบดิจิตอล ให้มีขนาดจำนวนข้อมูลน้อยลงเหลือเพียงประมาณ 9 กิโลบิตต่อวินาที ต่อช่องสัญญาณ การติดต่อจากสถานีลูก หรือตัวโทรศัพท์เคลื่อนที่กับสถานีเบส ใช้วิธีการสองแบบคือ TDMA คือการแบ่งช่องเวลาออกเป็นช่องเล็ก ๆ และแบ่งกันใช้ ทำให้ใช้ช่องสัญญาณความถี่วิทยุได้เพิ่มขึ้นจากเดิมอีกมาก กับอีกแบบหนึ่งเป็นการแบ่งการเข้าถึงตามการเข้ารหัส และการถอดรหัสโดยใส่แอดเดรสหมือน IP เราเรียกวิธีการนี้ว่า CDMA - Code Division Multiple Access ในยุค 2G จึงเป็นการรับส่งสัญญาณโทรศัพท์แบบดิจิตอลหมดแล้ว
ยุค 3G เป็นยุคแห่งอนาคตอันใกล้ โดยสร้างระบบใหม่ให้รองรับระบบเก่าได้ และเรียกว่า Universal Mobile Telecommunication Systems (UMTS) โดยมุ่งหวังว่า การเข้าถึงเครือข่ายแบบไร้สาย สามารถกระทำได้ด้วยอุปกรณ์หลากหลาย เช่น จากคอมพิวเตอร์ จากเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ระบบยังคงใช้การเข้าช่องสัญญาณเป็นแบบ CDMA ซึ่งสามารถบรรจุช่องสัญญาณเสียงได้มากกว่า แต่ใช้แบบแถบกว้าง (wideband) ในระบบนี้จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า WCDMA
นอกจากนี้ยังมีกลุ่มบริษัทบางบริษัทแยกการพัฒนาในรุ่น 3G เป็นแบบ CDMA เช่นกัน แต่เรียกว่า CDMA2000 กลุ่มบริษัทนี้พัฒนารากฐานมาจาก IS95 ซึ่งใช้ในสหรัฐอเมริกา และยังขยายรูปแบบเป็นการรับส่งในช่องสัญญาณที่ได้อัตราการรับส่งสูง (HDR-High Data Rate)
การพัฒนาในยุคที่สามนี้ยังต้องการความเกี่ยวโยงกับการใช้งานร่วมในเทคโนโลยีเก่าอีกด้วย โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาที่ยังคงให้ใช้งานได้ทั้งแบบ 1G และ 2G โดยเรียกรูปแบบใหม่เพื่อการส่งเป็นแพ็กเก็ตว่า GPRS-General Packet Radio Service ซึ่งส่งด้วยอัตราความเร็วตั้งแต่ 9.06, 13.4, 15.6 และ 21.4 กิโลบิตต่อวินาที โดยในการพัฒนาต่อจาก GPRS ให้เป็นระบบ 3G เรียกระบบใหม่ว่า EDGE-Enhanced Data Rate for GSM Evolution
ในยุค 3G นี้ เน้นการรับส่งแบบแพ็กเก็ต และต้องขยายความเร็วของการรับส่งให้สูงขึ้น โดยสามารถส่งรับด้วยความเร็วข้อมูล 384 กิโลบิตต่อวินาที เมื่อผู้ใช้กำลังเคลื่อนที่ และหากอยู่กับที่จะส่งรับได้ด้วยอัตราความเร็วถึง 2 เมกะบิตต่อวินาที
ไมโครคอมพิวเตอร์มีพัฒนาการมาจากการทดลองของนักอิเล็กทรอนิกส์สมัครเล่น ในยุคศตวรรษที่ 1970 ไมโครคอมพิวเตอร์มีขีดความสามารถที่จำกัด แต่ก็ท้าทายความสามารถ มีการประกอบเป็นคิตให้นักพัฒนานำไปสร้างเอง เช่น ไมโครคอมพิวเตอร์ยี่ห้อ MITS และ IMSAI เป็นต้น
รูปแบบของไมโครคอมพิวเตอร์เริ่มเด่นชัดปลายศตวรรษที่ 1970 เมื่อบริษัท แอปเปิ้ลคอมพิวเตอร์ ผลิตแอปเปิ้ลทู โดยมีเป้าหมายเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล และหลังจากนั้นในศตวรรษ 1980 ไอบีเอ็มก็เปิดศักราชของการใช้คอมพิวเตอร์ ส่วนบุคคล โดยเฉพาะมีโปรแกรมสำเร็จรูปออกมามากมายให้เลือกใช้งาน
ครั้นถึงยุคศตวรรษ 1990 พีซีมีบทบาทที่สำคัญยิ่งต่อชีวิตประจำวัน ขณะเดียวกันพัฒนาการทางพีซีทำให้ขีด ความสามารถเชิงการคำนวณสูงขึ้น มีการใช้ซีพียูที่เป็นไมโครโปรเซสเซอร์ในอุปกรณ์และงานอื่น ๆ มากมาย เมื่อพีซีมีขนาดจากที่วางอยู่บนโต๊ะ ลดขนาดลงมาวางอยู่ที่ตัก (แลบท็อป) และเล็กจนมีน้ำหนักเบาขนาดเท่ากับกระดาษ A4 ที่มีความหนาประมาณหนึ่งนิ้ว เรียกว่าโน้ตบุค และสับโน้ตบุค จนในที่สุดมีขนาดเล็กเป็นปาล์มท็อป และใส่กระเป๋าได้เรียกว่า พ็อกเก็ตคอมพิวเตอร์
การใช้คอมพิวเตอร์พีซียังต้องมีการพัฒนาเทคโนโลยีทางด้านเครือข่าย เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงการทำงาน การสร้างเครือข่ายแลนที่ต้องการอุปกรณ์สวิตช์และเราเตอร์ เพื่อให้ข้อมูลข่าวสารเดินทางไปถึงเป้าหมายได้ถูกต้องและรวดเร็ว หลังจาก ปี 1990 เป็นต้นมา พัฒนาการทางด้านอุปกรณ์เชื่อมโยงและเครือข่ายเป็นไปอย่างรวดเร็ว ขีดความสามารถในเรื่องการขนส่งข้อมูลจำนวนมาก และการคัดแยกหรือสวิตช์ข้อมูลเพิ่มความเร็วอย่างต่อเนื่อง ครือข่ายคอมพิวเตอร์มีรากฐานที่สำคัญมาจากเครือข่าย IP พัฒนาการทุกอย่างในขณะนี้จึงให้ความสำคัญที่จะวิ่งอยู่บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตนี้ แม้แต่เครือข่ายไร้สายอย่างเช่นโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่มีรากฐานมาจากโทรศัพท์เดิม
ความเป็นมาของโทรศัพท์เคลื่อนที่เซลลูลาร์
อเล็กซานเดอร์เกร แฮม เบล เป็นผู้วางรากฐานระบบโทรศัพท์ไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2419 หรือประมาณร้อยปีเศษแล้ว โทรศัพท์มีพัฒนาการค่อนข้างช้า เริ่มจากการสวิตช์ด้วยคน มาเป็นการใช้ระบบสวิตช์แบบอัตโนมัติด้วยกลไกทางแม่เหล็กไฟฟ้าจำพวกรีเลย์ จนในที่สุดเป็นระบบครอสบาร์
ครั้นเข้าสู่ยุคดิจิตอลอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ ระบบโทรศัพท์ที่ใช้ได้เปลี่ยนแปลงวิธีการสวิตช์มาเป็นแบบดิจิตอล มีการแปลงสัญญาณเสียงให้เป็นดิจิตอล โดยแถบเสียงขนาด 4 กิโลเฮิร์ทซ์ต่อวินาที ใช้อัตราสุ่ม 8,000 ครั้งต่อวินาที ได้สัญญาณดิจิตอลขนาด 64 กิโลบิตต่อวินาที แถบเสียงแบบดิจิตอลจึงเป็นข้อมูลที่มีการรับส่งกันมากที่สุดในโลกอยู่ขณะนี้
จนประมาณปี 1983 ระบบเซลลูลาร์เริ่มพัฒนาขึ้นใช้งาน ระบบแรกที่พัฒนามาใช้งานเรียกว่า ระบบ AMPS (Analog Advance Mobile Phone Service) ระบบดังกล่าวส่งสัญญาณไร้สายแบบอะนาล็อก โดยใช้คลื่นความถี่ที่ 824-894 เมกะเฮิร์ทซ์ โดยใช้หลักการแบ่งช่องทางความถี่หรือที่เรียกว่า FDMA - Frequency Division Multiple Access
ต่อมาประมาณปี 1990 กลุ่มผู้พัฒนาระบบเซลลูลาร์ได้พัฒนามาตรฐานใหม่โดยให้ชื่อว่า ระบบ GSM-Global System for Mobile Communication โดยเน้นระบบเชื่อมโยงติดต่อกันได้ทั่วโลก ระบบดังกล่าวนี้ใช้วิธีการเข้าถึงช่องสัญญาณด้วยระบบ TDMA-Time Division Multiple Access โดยใช้ความถี่ในการติดต่อกับสถานีเบสที่ 890-960 เมกะเฮิร์ทซ์
สำหรับในสหรัฐอเมริกาเองก็มีการพัฒนาระบบของตนขึ้นมาใช้ในปี 1991 โดยให้ชื่อว่า IS - 54 - Interim Standard - 54 ระบบดังกล่าวใช้วิธีการเข้าสู่ช่องสัญญาณด้วยระบบ TDMA เช่นกัน แต่ใช้ช่วงความถี่ 824-894 เมกะเฮิร์ทซ์ และในปี 1993 ก็ได้พัฒนาต่อเป็นระบบ IS-95 โดยใช้ระบบ CDMA ที่มีช่องความถี่มากขึ้นคือ 824-894 และ 1,850-1,980 เมกะเฮิร์ทซ์ ซึ่งเป็นระบบที่ใช้ร่วมกับระบบ AMPS เดิมได้
พัฒนาการของโทรศัพท์แบบเซลลูล่าร์แบ่งออกเป็นยุคตามรูปของการพัฒนาเทคโนโลยีได้ดังนี้
ยุค 1G เป็นยุคแรกของการพัฒนาระบบโทรศัพท์แบบเซลลูลาร์ การรับส่งสัญญาณใช้วิธีการมอดูเลตสัญญาณอะนาล็อกเข้าช่องสื่อสารโดยใช้การแบ่งความถี่ออกมาเป็นช่องเล็ก ๆ ด้วยวิธีการนี้มีข้อจำกัดในเรื่องจำนวนช่องสัญญาณ และการใช้ไม่เต็มประสิทธิภาพ จึงติดขัดเรื่องการขยายจำนวนเลขหมาย และการขยายแถบความถี่ ประจวบกับระบบเครื่องรับส่งสัญญาณวิทยุกำหนดขนาดของเซล และความแรงของสัญญาณเพื่อให้เข้าถึงสถานีเบสได้ ตัวเครื่องโทรศัพท์เซลลูลาร์ยังมีขนาดใหญ่ ใช้กำลังงานไฟฟ้ามาก ในภายหลังจึงเปลี่ยนมาเป็นระบบดิจิตอล และการเข้าช่องสัญญาณแบบแบ่งเวลา โทรศัพท์เคลื่อนที่แบบ 1G จึงใช้เฉพาะในยุคแรกเท่านั้น
ยุค 2G เป็นยุคที่พัฒนาต่อมาโดยการเข้ารหัสสัญญาณเสียง โดยบีบอัดสัญญาณเสียงในรูปแบบดิจิตอล ให้มีขนาดจำนวนข้อมูลน้อยลงเหลือเพียงประมาณ 9 กิโลบิตต่อวินาที ต่อช่องสัญญาณ การติดต่อจากสถานีลูก หรือตัวโทรศัพท์เคลื่อนที่กับสถานีเบส ใช้วิธีการสองแบบคือ TDMA คือการแบ่งช่องเวลาออกเป็นช่องเล็ก ๆ และแบ่งกันใช้ ทำให้ใช้ช่องสัญญาณความถี่วิทยุได้เพิ่มขึ้นจากเดิมอีกมาก กับอีกแบบหนึ่งเป็นการแบ่งการเข้าถึงตามการเข้ารหัส และการถอดรหัสโดยใส่แอดเดรสหมือน IP เราเรียกวิธีการนี้ว่า CDMA - Code Division Multiple Access ในยุค 2G จึงเป็นการรับส่งสัญญาณโทรศัพท์แบบดิจิตอลหมดแล้ว
ยุค 3G เป็นยุคแห่งอนาคตอันใกล้ โดยสร้างระบบใหม่ให้รองรับระบบเก่าได้ และเรียกว่า Universal Mobile Telecommunication Systems (UMTS) โดยมุ่งหวังว่า การเข้าถึงเครือข่ายแบบไร้สาย สามารถกระทำได้ด้วยอุปกรณ์หลากหลาย เช่น จากคอมพิวเตอร์ จากเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ระบบยังคงใช้การเข้าช่องสัญญาณเป็นแบบ CDMA ซึ่งสามารถบรรจุช่องสัญญาณเสียงได้มากกว่า แต่ใช้แบบแถบกว้าง (wideband) ในระบบนี้จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า WCDMA
นอกจากนี้ยังมีกลุ่มบริษัทบางบริษัทแยกการพัฒนาในรุ่น 3G เป็นแบบ CDMA เช่นกัน แต่เรียกว่า CDMA2000 กลุ่มบริษัทนี้พัฒนารากฐานมาจาก IS95 ซึ่งใช้ในสหรัฐอเมริกา และยังขยายรูปแบบเป็นการรับส่งในช่องสัญญาณที่ได้อัตราการรับส่งสูง (HDR-High Data Rate)
การพัฒนาในยุคที่สามนี้ยังต้องการความเกี่ยวโยงกับการใช้งานร่วมในเทคโนโลยีเก่าอีกด้วย โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาที่ยังคงให้ใช้งานได้ทั้งแบบ 1G และ 2G โดยเรียกรูปแบบใหม่เพื่อการส่งเป็นแพ็กเก็ตว่า GPRS-General Packet Radio Service ซึ่งส่งด้วยอัตราความเร็วตั้งแต่ 9.06, 13.4, 15.6 และ 21.4 กิโลบิตต่อวินาที โดยในการพัฒนาต่อจาก GPRS ให้เป็นระบบ 3G เรียกระบบใหม่ว่า EDGE-Enhanced Data Rate for GSM Evolution
ในยุค 3G นี้ เน้นการรับส่งแบบแพ็กเก็ต และต้องขยายความเร็วของการรับส่งให้สูงขึ้น โดยสามารถส่งรับด้วยความเร็วข้อมูล 384 กิโลบิตต่อวินาที เมื่อผู้ใช้กำลังเคลื่อนที่ และหากอยู่กับที่จะส่งรับได้ด้วยอัตราความเร็วถึง 2 เมกะบิตต่อวินาที
วันพุธที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2553
สวัสดีตอนสายๆคะกลับมาอีกแล้วนะคะวันนี้ไม่ได้มนินทาใครหรอกแต่เอาบุญมาฝากกันคะ ก็วันนี้ได้มาตักบาตรที่มหาลัยสิค่ะ พอทำบุญแล้วรู้สึกสบายใจอิ่มบุญเลยนำมาฝากให้กับทุกคนเลยคะไม่อยากเก็บไว้คนเดียว ยังไงก็ขอเชิญทุกท่านร่วมทำบุญตักบาตรกับเราได้ที่ลานวัฒนธรรมมหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลาทุกวันพฤหัสบดีเวลา 07.00นะคะ
แล้วเจอกันค่ะขอบคุณคะ เจอกันใหม่คะบาย
แล้วเจอกันค่ะขอบคุณคะ เจอกันใหม่คะบาย
คอมพิวเตอร์ในชีวิตประจำวัน
ประมาณปี พ.ศ. 2500 คอมพิวเตอร์มีอยู่ในโลกนี้ไม่มากนัก ส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องในระบบเมนเฟรม ซึ่งมีขนาดใหญ่และราคาแพง ส่วนมากจะใช้งานทางด้านวิทยาศาสตร์เท่านั้น ซึ่งจะไม่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันมากนัก แต่ในปัจจุบันคอมพิวเตอร์ได้มีขนาดเล็กลง และ ราคาก็ไม่แพงนัก คนทั่วไปสามารถซื้อหามาใช้ได้เหมือนกับเครื่องใช้ไฟฟ้าโดยทั่วไป
ในหน่วยงานทั้งภาครัฐบาลและเอกชน ก็มีการนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในหน่วยงานขึ้น และมีแนวโน้มที่จะมีการใช้สูงขึ้น เหตุผลที่มีการนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในชีวิตประจำวันเพิ่มมากขึ้น คือ
1 . คอมพิวเตอร์สามารถจัดเก็บข้อมูลได้เป็นจำนวนมาก เช่น เก็บข้อมูลงานทะเบียนราษฏฐ์ของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทยซึ่งสามารถตรวจสอบประ วัติของบุคคลต่างๆได้ เป็นต้น
2 . คอมพิวเตอร์สามารถทำงานได้รวดเร็ว งานบางอย่างคอมพิวเตอร์จะทำได้ในพริบตาในขณะที่ถ้าให้คนทำอาจจะต้องใช้เวลานา น
3 . คอมพิวเตอร์สามารถทำงานได้โดยไม่ต้องหยุดพัก คือทำงานได้ตลอดเวลา ในขณะที่ยังต้องมีไฟฟ้าอยู่
4 . คอมพิวเตอร์สามารถทำงานได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ ถ้ามีการกำหนดโปรแกรมทำงานที่ถูกต้อง จะไม่มีการทำงานผิดพลาดขึ้นมา
5 .คอมพิวเตอร์สามารถทำงานแบบคนได้ในสภาพแวดล้อมที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพร่างกาย เช่น ที่มีก๊าซพิษ กัมมันตภาพรังสี หรือในงานที่มีความเสี่ยงสูงในโรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น บทบาทของคอมพิวเตอร์ในงานต่างๆ เช่น
1 . บทบาทของคอมพิวเตอร์ในสถานศึกษา
ปัจจุบันตามสถานศึกษาต่างๆ ได้มีการนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในการเรียนการสอนอย่างมากมาย รวมทั้งใช้คอมพิวเตอร์ในงานบริหารของโรงเรียน เช่น การจัดทำประวัตินักเรียน ประวัติครูอาจารย์ การคัดคะแนนสอบ การจัดทำตารางสอน ใช้คอมพิวเตอร์ ในงานห้องสมุด การจัดทำตารางสอ น เป็นต้น
ตัวอย่างในการประยุกต์ด้านการศึกษา เช่น โปรแกรมรายงานการลงทะเบียนเรียน โปรแกรมตรวจข้อสอบ เป็นต้น
2 . บทบาทของคอมพิวเตอร์ในงานวิศวกรรม
คอมพิวเตอร์สามารถจะทำงานในด้านวิศวกรรมได้ตั้งแต่ขั้นตอนการลอกเขียนแบบ จนกระทั่งถึงการออกแบบโครงสร้างของสถาปัตยกรรมต่างๆ ต ลอดจน ช่วยคำนวณโครงสร้าง ช่วยในการวางแผน และควบคุมการสร้าง
3 . บทบาทของคอมพิวเตอร์ในงานวิทยาศาสตร์
คอมพิวเตอร์สามารถทำงานร่วมกับเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ต่างๆ เช่น เครื่องมือวิเคราะห์สารเคมี เครื่องมือการทดลองต่างๆ แม้กระทั่งการเดินทางของยานอวกาศต่างๆ การถ่ายพื้นผิวโลกบนดาวอังคาร เป็นต้น
4 . บทบาทคอมพิวเตอร์ในงานธุรกิจ
คอมพิวเตอร์สามารถจัดเก็บข้อมูลได้มากมาย มีความรวดเร็ว และถูกต้อง ทำให้สามารถได้ข้อมูลที่ช่วยให้สามารถตัดสินใจในการ ดำเนินธุรกิจ ตลอดจนงานทางด้านเอกสารงานพิมพ์ต่างๆ เป็นต้น
5 . บทบาทของคอมพิวเตอร์ในงานธนาคาร
ในแวดวงธนาคารนับได้ว่าคอมพิวเตอร์ได้เข้ามามีบทบาทมากที่สุด เพราะธนาคารจะมีการนำข้อมูล < Transaction > เป็นประจะทุกวัน การหาอัตราดอกเบี้ยต่างๆ นอกจากนี้การใช้บริการ ATM ซึ่งลูกค้าสามารถฝากถอนเงินได้จากเครื่องอัตโนมัติ ซึ่งมำให้สะดวกแก่ผู้ใช้บริการเป็น< wbr>อย่างยิ่ง และเป็นที่นิยมแพร่หลายในปัจจุบัน
6 . บทบาทของคอมพิวเตอร์ในร้านค้าปลีก ปัจจุบันเห็นได้ว่า ได้มีธุรกิจร้านค้าปลีกหรือที่เรียกว่า " เฟรนไซน์" เป็นจำนวนมาก ได้มีการนำคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้ในการ ให้บริการลูกค้า เช่น ให้บริการชำระ ค่าน้ำ - ไฟฟ้า ค่าโทรศัพท์ เป็นต้น จะเห็นได้ว่ามีการ online ระหว่างร้านค้าเหล่านั้นกับหน่วยงานนั้นๆ เพื่อสามารถตัดยอดบัญชีได้ เป็นต้น
7 . บทบาทคอมพิวเตอร์ในวงการแพทย์ คอมพิวเตอร์ได้ถูกนำมาใช้ในการเก็บประวัติของคนไข้ ควบคุมการรับ และจ่ายยา ตลอดจนยังอยู่ในอุปกรณ์เครื่องมือทางการแพทย์ เช่น เครื่องมือผ่าตัด บันทึกการเต้นของหัวใจ ตรวจคลื่นสมอง และด้านการหาตำแหน่งของอวัยวะก่อนการผ่าตัด เป็นต้น
8 . บทบาทของคอมพิวเตอร์ในการคมนาคม และการสื่อสาร
ในยุคปัจจุบัน เราเรียกว่าเป็นยุคที่เป็นการสื่อสารแบบไร้พรมแดน จะเห็นได้ว่ามีการสื่อสารในรูปแบบต่าง ๆ ในเคร ือข่ายสาธาระณะที่เรียกว่า เครือข่ายอินเทอร์เน็ต ซึ่งสามารถที่จะสื่อสารกับทุกคนได้ทั่วมุมโลก โดยผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์นี้ และยังมีโปรแกรม< wbr>ที่สามารถจะใช้ในการพูดคุยกันได้ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วยกันใช้คุยกัน หรือจะเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์สื่อสารกับเครื่องโทรศัพท์ที่บ ้านหรือที่ทำงาน หรือแม้กระทั่งการส่ง pager ในปัจจุบันสามารถส่งทางเครือข่ายคอมพิวเตอร์ไปยังเครื่องลูกได้ เป็นต้น
สำหรับการใช้คอมพิวเตอร์ในทางโทรคมนาคมจะเห็นว่าปัจจุบันการจองตั๋วเครื่องบินจะมีการนำเอาคอมพิวเตอร์มาใช้เป็นจำนวนมาก รวมถึงการจองตั๋วผ่านทาง Internet ด้วยตนเอง เห็นได้ว่าเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ผู้ใช้บริการ และนอกจากนี้ ยังมีเครือข่ายของสายการบินทั่วโลก ทำให้ผู้ใช้บริการสามารถเลือกจองได้ตามสายการบินต่างๆ เป็นต้น
9 . บทบาทของคอมพิวเตอร์ในงานด้านอุตสาหกรรม
ในวงการอุตสาหกรรมนับได้ว่าคอมพิวเตอร์ได้เข้ามามีบทบาทเป็นอย่างมาก ตั้งแต่การวางแผนการผลิต กำหนดเวลาการผลิต จนกระทั่งถึงการผลิตสินค้า ควบคุมระบบ การผลิตทั้งหมด
ในรายงานทางอุตสาหกรรมได้มีการนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในการควบคุมการ ทำงานของเครื่องจักร เช่น การเจาะ ตัด ไส กลึง เป็นต้น ตลอดจนโรงงานผลิตรถยนต์ ก็จะใช้ หุ่นยนต์คอมพิวเตอร์ในการทาสี พ่นสี รวมถึงการประกอบนรถยนต์ เป็นต้น
10 . บทบาทของคอมพิวเตอร์ในวงราชการ
คอมพิวเตอร์ถูกนำมาใช้ในงานทะเบียนราษฏร์ ช่วยในการนับคะแนนการ เลือกตั้ง และการประกาศผลเลือกตั้ง การคิดภาษีอากร การเก็บข้อมูล สถิติสัมมโนประชากร การเก็บเงินค่าไฟฟ้า น้ำประปา ค่าใช้โทรศัพท์ เป็นต้น
ประมาณปี พ.ศ. 2500 คอมพิวเตอร์มีอยู่ในโลกนี้ไม่มากนัก ส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องในระบบเมนเฟรม ซึ่งมีขนาดใหญ่และราคาแพง ส่วนมากจะใช้งานทางด้านวิทยาศาสตร์เท่านั้น ซึ่งจะไม่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันมากนัก แต่ในปัจจุบันคอมพิวเตอร์ได้มีขนาดเล็กลง และ ราคาก็ไม่แพงนัก คนทั่วไปสามารถซื้อหามาใช้ได้เหมือนกับเครื่องใช้ไฟฟ้าโดยทั่วไป
ในหน่วยงานทั้งภาครัฐบาลและเอกชน ก็มีการนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในหน่วยงานขึ้น และมีแนวโน้มที่จะมีการใช้สูงขึ้น เหตุผลที่มีการนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในชีวิตประจำวันเพิ่มมากขึ้น คือ
1 . คอมพิวเตอร์สามารถจัดเก็บข้อมูลได้เป็นจำนวนมาก เช่น เก็บข้อมูลงานทะเบียนราษฏฐ์ของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทยซึ่งสามารถตรวจสอบประ วัติของบุคคลต่างๆได้ เป็นต้น
2 . คอมพิวเตอร์สามารถทำงานได้รวดเร็ว งานบางอย่างคอมพิวเตอร์จะทำได้ในพริบตาในขณะที่ถ้าให้คนทำอาจจะต้องใช้เวลานา น
3 . คอมพิวเตอร์สามารถทำงานได้โดยไม่ต้องหยุดพัก คือทำงานได้ตลอดเวลา ในขณะที่ยังต้องมีไฟฟ้าอยู่
4 . คอมพิวเตอร์สามารถทำงานได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ ถ้ามีการกำหนดโปรแกรมทำงานที่ถูกต้อง จะไม่มีการทำงานผิดพลาดขึ้นมา
5 .คอมพิวเตอร์สามารถทำงานแบบคนได้ในสภาพแวดล้อมที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพร่างกาย เช่น ที่มีก๊าซพิษ กัมมันตภาพรังสี หรือในงานที่มีความเสี่ยงสูงในโรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น บทบาทของคอมพิวเตอร์ในงานต่างๆ เช่น
1 . บทบาทของคอมพิวเตอร์ในสถานศึกษา
ปัจจุบันตามสถานศึกษาต่างๆ ได้มีการนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในการเรียนการสอนอย่างมากมาย รวมทั้งใช้คอมพิวเตอร์ในงานบริหารของโรงเรียน เช่น การจัดทำประวัตินักเรียน ประวัติครูอาจารย์ การคัดคะแนนสอบ การจัดทำตารางสอน ใช้คอมพิวเตอร์ ในงานห้องสมุด การจัดทำตารางสอ น เป็นต้น
ตัวอย่างในการประยุกต์ด้านการศึกษา เช่น โปรแกรมรายงานการลงทะเบียนเรียน โปรแกรมตรวจข้อสอบ เป็นต้น
2 . บทบาทของคอมพิวเตอร์ในงานวิศวกรรม
คอมพิวเตอร์สามารถจะทำงานในด้านวิศวกรรมได้ตั้งแต่ขั้นตอนการลอกเขียนแบบ จนกระทั่งถึงการออกแบบโครงสร้างของสถาปัตยกรรมต่างๆ ต ลอดจน ช่วยคำนวณโครงสร้าง ช่วยในการวางแผน และควบคุมการสร้าง
3 . บทบาทของคอมพิวเตอร์ในงานวิทยาศาสตร์
คอมพิวเตอร์สามารถทำงานร่วมกับเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ต่างๆ เช่น เครื่องมือวิเคราะห์สารเคมี เครื่องมือการทดลองต่างๆ แม้กระทั่งการเดินทางของยานอวกาศต่างๆ การถ่ายพื้นผิวโลกบนดาวอังคาร เป็นต้น
4 . บทบาทคอมพิวเตอร์ในงานธุรกิจ
คอมพิวเตอร์สามารถจัดเก็บข้อมูลได้มากมาย มีความรวดเร็ว และถูกต้อง ทำให้สามารถได้ข้อมูลที่ช่วยให้สามารถตัดสินใจในการ ดำเนินธุรกิจ ตลอดจนงานทางด้านเอกสารงานพิมพ์ต่างๆ เป็นต้น
5 . บทบาทของคอมพิวเตอร์ในงานธนาคาร
ในแวดวงธนาคารนับได้ว่าคอมพิวเตอร์ได้เข้ามามีบทบาทมากที่สุด เพราะธนาคารจะมีการนำข้อมูล < Transaction > เป็นประจะทุกวัน การหาอัตราดอกเบี้ยต่างๆ นอกจากนี้การใช้บริการ ATM ซึ่งลูกค้าสามารถฝากถอนเงินได้จากเครื่องอัตโนมัติ ซึ่งมำให้สะดวกแก่ผู้ใช้บริการเป็น< wbr>อย่างยิ่ง และเป็นที่นิยมแพร่หลายในปัจจุบัน
6 . บทบาทของคอมพิวเตอร์ในร้านค้าปลีก ปัจจุบันเห็นได้ว่า ได้มีธุรกิจร้านค้าปลีกหรือที่เรียกว่า " เฟรนไซน์" เป็นจำนวนมาก ได้มีการนำคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้ในการ ให้บริการลูกค้า เช่น ให้บริการชำระ ค่าน้ำ - ไฟฟ้า ค่าโทรศัพท์ เป็นต้น จะเห็นได้ว่ามีการ online ระหว่างร้านค้าเหล่านั้นกับหน่วยงานนั้นๆ เพื่อสามารถตัดยอดบัญชีได้ เป็นต้น
7 . บทบาทคอมพิวเตอร์ในวงการแพทย์ คอมพิวเตอร์ได้ถูกนำมาใช้ในการเก็บประวัติของคนไข้ ควบคุมการรับ และจ่ายยา ตลอดจนยังอยู่ในอุปกรณ์เครื่องมือทางการแพทย์ เช่น เครื่องมือผ่าตัด บันทึกการเต้นของหัวใจ ตรวจคลื่นสมอง และด้านการหาตำแหน่งของอวัยวะก่อนการผ่าตัด เป็นต้น
8 . บทบาทของคอมพิวเตอร์ในการคมนาคม และการสื่อสาร
ในยุคปัจจุบัน เราเรียกว่าเป็นยุคที่เป็นการสื่อสารแบบไร้พรมแดน จะเห็นได้ว่ามีการสื่อสารในรูปแบบต่าง ๆ ในเคร ือข่ายสาธาระณะที่เรียกว่า เครือข่ายอินเทอร์เน็ต ซึ่งสามารถที่จะสื่อสารกับทุกคนได้ทั่วมุมโลก โดยผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์นี้ และยังมีโปรแกรม< wbr>ที่สามารถจะใช้ในการพูดคุยกันได้ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วยกันใช้คุยกัน หรือจะเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์สื่อสารกับเครื่องโทรศัพท์ที่บ ้านหรือที่ทำงาน หรือแม้กระทั่งการส่ง pager ในปัจจุบันสามารถส่งทางเครือข่ายคอมพิวเตอร์ไปยังเครื่องลูกได้ เป็นต้น
สำหรับการใช้คอมพิวเตอร์ในทางโทรคมนาคมจะเห็นว่าปัจจุบันการจองตั๋วเครื่องบินจะมีการนำเอาคอมพิวเตอร์มาใช้เป็นจำนวนมาก รวมถึงการจองตั๋วผ่านทาง Internet ด้วยตนเอง เห็นได้ว่าเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ผู้ใช้บริการ และนอกจากนี้ ยังมีเครือข่ายของสายการบินทั่วโลก ทำให้ผู้ใช้บริการสามารถเลือกจองได้ตามสายการบินต่างๆ เป็นต้น
9 . บทบาทของคอมพิวเตอร์ในงานด้านอุตสาหกรรม
ในวงการอุตสาหกรรมนับได้ว่าคอมพิวเตอร์ได้เข้ามามีบทบาทเป็นอย่างมาก ตั้งแต่การวางแผนการผลิต กำหนดเวลาการผลิต จนกระทั่งถึงการผลิตสินค้า ควบคุมระบบ การผลิตทั้งหมด
ในรายงานทางอุตสาหกรรมได้มีการนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในการควบคุมการ ทำงานของเครื่องจักร เช่น การเจาะ ตัด ไส กลึง เป็นต้น ตลอดจนโรงงานผลิตรถยนต์ ก็จะใช้ หุ่นยนต์คอมพิวเตอร์ในการทาสี พ่นสี รวมถึงการประกอบนรถยนต์ เป็นต้น
10 . บทบาทของคอมพิวเตอร์ในวงราชการ
คอมพิวเตอร์ถูกนำมาใช้ในงานทะเบียนราษฏร์ ช่วยในการนับคะแนนการ เลือกตั้ง และการประกาศผลเลือกตั้ง การคิดภาษีอากร การเก็บข้อมูล สถิติสัมมโนประชากร การเก็บเงินค่าไฟฟ้า น้ำประปา ค่าใช้โทรศัพท์ เป็นต้น
วันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2553
สวัดสดีคะวันนี้ก็แวะมาทักทายกันอีกแล้วนะคะวันนี้มีสาระน่ารู้เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์มาฝากคะแต่ก่อนอื่นต้องขอยุ่งเรื่องชาวบ้านนิดนึงนะคะไม่มีอะไรมากหรอกคะก็เรื่องการแต่งกายของน้องปี1ของคณะ.............นี้ซิค่ะแรงเปรี้ยวจนเข็ดฟันเลยแต่งกันเสียจนไม่มีความเป็นนักศึกษาเลยไม่รู้จะแต่งไปทำไม เอาหล่ะค่ะหายคันปากแล้วก็มาเข้าสาระคอมพิวเตอร์กันเลยนะคะ
งานคอมพิวเตอร์กับงานการศึกษา
ปัจจุบันตามสถานศึกษาต่างๆ ได้มีการนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในการเรียนการสอนอย่างมากมาย รวมทั้งใช้คอมพิวเตอร์ในงานบริหารของโรงเรียน เช่น การจัดทำประวัตินักเรียน ประวัติครูอาจารย์ การคัดคะแนนสอบ การจัดทำตารางสอน ใช้คอมพิวเตอร์ ในงานห้องสมุด การจัดทำตารางสอน เป็นต้น ตัวอย่าง ในการประยุกต์ด้านการศึกษา เช่น โปรแกรมฝ่ายทะเบียนวัดผล โปรแกรมตรวจข้อสอบ เป็นต้น
อ้างอิงจากhttp://www.thaigoodview.com/library/teachershow/nakhonsawan/adun_t/lession0101.htm
งานคอมพิวเตอร์กับงานการศึกษา
ปัจจุบันตามสถานศึกษาต่างๆ ได้มีการนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในการเรียนการสอนอย่างมากมาย รวมทั้งใช้คอมพิวเตอร์ในงานบริหารของโรงเรียน เช่น การจัดทำประวัตินักเรียน ประวัติครูอาจารย์ การคัดคะแนนสอบ การจัดทำตารางสอน ใช้คอมพิวเตอร์ ในงานห้องสมุด การจัดทำตารางสอน เป็นต้น ตัวอย่าง ในการประยุกต์ด้านการศึกษา เช่น โปรแกรมฝ่ายทะเบียนวัดผล โปรแกรมตรวจข้อสอบ เป็นต้น
อ้างอิงจากhttp://www.thaigoodview.com/library/teachershow/nakhonsawan/adun_t/lession0101.htm
วันอังคารที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2553
ทักทายวันี้
คำว่า กราฟิก (Graphic) มาจากภาษากรีก 2 คำคือ1. Graphikos หมายถึง การวาดเขียน2. Graphein หมายถึง การเขียนต่อมามีผู้ให้ความหมายของคำว่า “กราฟิก” ไว้หลายประการซึ่งสรุปได้ดังนี้........กราฟิก หมายถึง ศิลปะแขนงหนึ่งซึ่งใช้สื่อความหมายด้วยเส้น สัญลักษณ์ รูปวาด ภาพถ่าย กราฟ แผนภูมิ การ์ตูน ฯลฯ เพื่อให้สามารถสื่อความหมายข้อมูลได้ถูกต้องตรงตามที่ผู้สื่อสารต้องการกราฟิกประกอบด้วย1. ภาพบิตแมพ (Bitmap) เป็นภาพที่มีการเก็บข้อมูลแบบพิกเซล หรือจุดเล็กๆ ที่แสดงค่าสี ดังนั้นภาพหนึ่งๆ จึงเกิดจากจุดเล็กๆ หลายๆ จุดประกอบกัน (คล้ายๆ กับการปักผ้าครอสติก) ทำให้รูปภาพแต่ละรูป เก็บข้อมูลจำนวนมาก เมื่อจะนำมาใช้ จึงมีเทคนิคการบีบอัดข้อมูล ฟอร์แมตของภาพบิตแมพ ที่รู้จักกันดี ได้แก่ .BMP, .PCX, .GIF, .JPG, .TIF2. ภาพเวกเตอร์ (Vector) เป็นภาพที่สร้างด้วยส่วนประกอบของเส้นลักษณะต่างๆ และคุณสมบัติเกี่ยวกับสีของเส้นนั้นๆ ซึ่งสร้างจากการคำนวณทางคณิตศาสตร์ เช่น ภาพของคน ก็จะถูกสร้างด้วยจุดของเส้นหลายๆ จุด เป็นลักษณะของโครงร่าง (Outline) และสีของคนก็เกิดจากสีของเส้นโครงร่างนั้นๆ กับพื้นที่ผิวภายในนั่นเอง เมื่อมีการแก้ไขภาพ ก็จะเป็นการแก้ไขคุณสมบัติของเส้น ทำให้ภาพไม่สูญเสียความละเอียด เมื่อมีการขยายภาพนั่นเอง ภาพแบบ Vector ที่หลายๆ ท่านคุ้นเคยก็คือ ภาพ .wmf ซึ่งเป็น clipart ของ Microsoft Office นั่นเอง นอกจากนี้คุณจะสามารถพบภาพฟอร์แมตนี้ได้กับภาพในโปรแกรม Adobe Illustrator หรือ Macromedia Freehand3. คลิปอาร์ต (Clipart) เป็นรูปแบบของการจัดเก็บภาพ จำนวนมากๆ ในลักษณะของตารางภาพ หรือห้องสมุดภาพ หรือคลังภาพ เพื่อให้เรียกใช้ สืบค้น ได้ง่าย สะดวก และรวดเร็ว4. HyperPicture มักจะเป็นภาพชนิดพิเศษ ที่พบได้บนสื่อมัลติมีเดีย มีความสามารถเชื่อมโยงไปยังเนื้อหา หรือรายละเอียดอื่นๆ มีการกระทำ เช่น คลิก (Click) หรือเอาเมาส์มาวางไว้เหนือตำแหน่งที่ระบุ (Over)
คอมพิวเตอร์กราฟฟิก........คอมพิวเตอร์กราฟฟิก หมายถึง การสร้าง การตกแต่งแก้ไข หรือการจัดการเกี่ยวกับรูปภาพ โดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ในการจัดการ ยกตัวอย่างเช่น การทำ Image Retouching ภาพคนแก่ให้มีวัยที่เด็กขึ้น การสร้างภาพตามจินตนาการ และการใช้ภาพกราฟิกในการนำเสนอข้อมูลต่างๆ เพื่อให้สามารถสื่อความหมายได้ตรงตามที่ผู้สื่อสาร ต้องการและน่าสนใจยิ่งขึ้นด้วยกราฟ แผนภูมิ แผนภาพ เป็นต้น........ภาพกราฟิกแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ-กราฟิกแบบ 2 มิติ เป็นภาพที่พบเห็นโดยทั่วไป เช่น ภาพถ่าย รูปวาด ภาพลายเส้น สัญลักษณ์ กราฟ รวมถึงการ์ตูนต่างๆ ในโทรทัศน์-กราฟิกแบบ 3 มิติ เป็นภาพกราฟิกที่ใช้โปรแกรมสร้างภาพ 3 มิติโดยเฉพาะ เช่น โปรแกรม 3Ds Max โปรแกรม Maya เป็นต้น
ดังนั้น กราฟิกแบบ 2 มิติ คือ ศิลปะแขนงหนึ่งซึ่งใช้สื่อความหมายด้วยเส้น สัญลักษณ์ รูปวาด ภาพถ่าย กราฟ แผนภูมิ การ์ตูน ฯลฯ เพื่อให้สามารถสื่อความหมายข้อมูลได้ถูกต้องตรงตามที่ผู้สื่อสารต้องการ โดยมีลักษณะเป็น 2 มิติ คือ สามารถมองเห็นตามแนวแกน X(ความกว้าง) กับ แกน Y(ความยาว) ซึ่งต่างจาก 3 มิติ ซึ่ง 3 มิติ นั้นจะมีแกน Z (ความหนาหรือความสูง) เพิ่มเข้ามา ทำให้เราเห็นเป็นรูปร่างที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
ส่วนรูปแบบหรือนามสกุลไฟล์ก็จะเป็น format รูปภาพทั่วๆไป เช่น .BMP, .PCX, .GIF, .JPG, .TIF, .WMF, .PNG เป็นต้น ซึ่งสามารถใช้โปรแกรม Adobe Photoshop, Illustrator, Freehand, Firework, Microsoft Visio, CorelDraw, GIMP เป็นต้น
สำหรับประโยชน์ของงานกราฟิกกับสังคมปัจจุบัน- กราฟิกกับสังคมปัจจุบัน........ปัจจุบันเทคโนโลยีได้วิวัฒนาการไปค่อนข้างรวดเร็ว การใช้ระบบการติดต่อสื่อสารที่มี ประสิทธิภาพมากขึ้น มีการกระจายของข้อมูลไปอย่างรวดเร็ว โดยอาจเป็นการกระจายข้อมูล จาก ที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง และการที่จะให้คนอีกซีกโลกหนึ่งเข้าใจความหมายของคนอีกซีกโลกหนึ่งนั้นเป็นเรื่องที่ไม่สามารถทำได้ง่ายนักเนื่องมาจากความแตกต่างกันทั้งทางด้านขนบธรรมเนียม ประเพณีวัฒนธรรม สภาพภูมิประเทศ สภาพดินฟ้าอากาศความเชื่อของแต่ละท้องถิ่น ดังนั้นการใช้งานกราฟิกที่ดีที่สามารถสื่อความหมายได้ชัดเจนถูกต้อง จะช่วยให้มนุษย์สามารถสื่อสารกันได้ เข้าใจกันได้ เกินจินตนาการร่วมกัน อีกทั้งยังเกิดทัศนคติที่ดีต่อกันด้วย หรือถึงขั้นคล้อยตามให้ปฏิบัติตามได้7 เดือน ผ่านไปที่มา:http://www.vcharkarn.com/include/article/showarticle.php?Aid=33026&page=...http://intreelek2.blogspot.com/
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)